28 พฤษภาคม 2553
[บทสัมภาษณ์]-TAE YANG-Elle girl Korea
“ผมไม่สนใจที่จะหันไปทำอย่างอื่นจริงๆนะ”
แทยังนั้นแตกต่างกับสมาชิกบิ๊กแบงคนอื่นๆที่รับงานอื่นนอกจากงานเพลง ในขณะที่เพื่อนๆวุ่นวายอยู่กับวาไรตี้โชว์ ละครทีวีและละครเวทีนั้น สิ่งที่เขาใส่ใจอยู่อย่างเดียวคือ “ดนตรี”
เป็นเรื่องดีทีเดียวที่ได้เจอเขาอีกครั้งหนึ่งแถมเขายังเอาข่าวดีมาบอกเราด้วยว่า เขากำลังทำอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มที่สองอยู่! ถึงแม้ว่าอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกที่ออกมาในแบบอีพี จะประสบความสำเร็จในชาร์ทเพลงได้อย่างโดดเด่น แต่ก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาก็ยังมีอะไรที่อยากจะทำอีกมากมาย เหตุผลสองอย่างที่เขาทำงานหนักเพื่ออัลบั้มที่สองนี้ก็คือมันเป็นความปราถนาของเขาที่ทำให้งานในอัลบั้มออกมาดีขึ้นและความรู้สึกผูกพันธ์ที่มีต่อแฟนเพลงของเขานั่นเอง
“ผมร่วมงานกับพี่เท็ดดี้มาตั้งแต่ต้นปีเพื่อที่จะหาว่าผมต้องการทำเพลงแนวไหน ผมไม่ได้เฉพาะเจาะจงตั้งใจมาแต่แรกเลยนะว่าจะทำเพลงเพื่อใส่ในอัลบั้มที่สอง แต่การทำงานร่วมกันก็กลายมาเป็นอัลบั้มที่สองไปโดยปริยาย อัลบั้มแรกของผมออกมาในแบบอีพี เพราะงั้นเวลามันเลยเหมาะสมที่ผมจะทำอัลบั้มเต็ม ผมจะใช้เวลาทำให้มันออกมาเพอร์เฟ๊คมากพอๆกับการที่ผมอยากจะเป็นคนที่เพอร์เฟ๊คเลยครับ”
แทยังใช้เวลาที่แยกตัวออกไปจากแฟนๆชาวเกาหลีก็เพื่อที่จะตอกย้ำบุคคลิกของเขาในฐานะศิลปินเดี่ยวและมุ่งมั่นที่จะโปรโมตเพลงของบิ๊กแบงอีกด้วย สำหรับการที่จะเปิดตัวบิ๊กแบงในวงกว้างที่ญี่ปุ่นนั้น บิ๊กแบงได้ปล่อยซิงเกิ้ลสองเพลงและอัลบั้มเต็มหนึ่งอัลบั้ม และอยู่ที่นั่นยาวขึ้นเพื่อโปรโมตอัลบั้มของพวกเขาอย่างหนักหน่วง
“นี่หมายความว่าตอนนี้บิ๊กแบงได้รับสถานะว่าเป็น “โคเรี่ยน เวฟ” แบบที่เค้าเรียกกันแล้วรึเปล่า“
แทยังพยักหน้ารับอย่างอ่อนน้อม
“แรกๆพวกเราไม่ได้ไปญี่ปุ่นในฐานะดารา “โคเรี่ยน เวฟ” หรอกครับ เราไปที่นั่นเพื่อบอกให้คนอื่นได้รู้จักเพลงของเราผ่านทางค่ายเพลงอินดี้ในฐานะที่เราคือนักดนตรี ต่อมาเราก็โชคดีมากพอที่จะได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่และได้รับความสำเร็จแบบเกินคาดซึ่งส่งให้อัลบั้มของเราติดอยู่ในอับดับสูงๆของโอริกอน ชาร์ท ประสบการณ์ที่น่าจดจำสุดๆของผมก็คือการที่เราได้ไปออกรายการเพลงที่มีชื่อเสียงมากๆของญี่ปุ่นอย่างรายการมิวสิค สเตชั่นครับ ”
สำหรับบิ๊กแบงการได้พักผ่อนนั้นเป็นความหรูหราและก็ไม่ได้มีมาบ่อยๆ เมื่อใดที่พวกเราทำอะไรได้ตามเป้าหมาย ก็มีเป้าหมายถัดไปที่ยากกว่ารอพวกเขาอยู่ เรากลัวว่าพวกเขาจะอ่อนเพลียลงไปทั้งกายและใจซะก่อนและพวกเขามีใครที่พอจะคุยด้วยได้มั๊ยเวลาที่อยากจะระบาย
“ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมายหรอกครับ คือใจของพวกเรามันเต็มไปด้วยเรื่องทิศทางของพวกเราในอนาคตน่ะครับ พวกเรารู้ว่าใครๆก็คาดหวังกับพวกเราไว้สูงและผมรู้นะว่าผมต้องทำให้ดีขึ้นกว่าเก่า แต่ก่อนเวลาที่ผมกังวลใจ ผมก็จะเก็บมันไว้กับตัวเองคนเดียว แต่ตอนนี้ผมก็ระบายออกให้คนอื่นอีกสองสามคนที่ผมเชื่อถือและพึ่งพาเค้าอยู่ได้รับรู้ ผมรู้สึกสบายใจสุดๆเลยเวลาได้คุยกับพี่เท็ดดี้”
จะยังไงก็ตาม วันนี้แทยังก็ยังลำบากกับปัญหาที่แม้แต่ “พี่เท็ดดี้” ก็ยังช่วยไม่ได้ เขาอุทิศตัวให้กับการอัดเสียง จนลืมไปว่าเมื่อวานเป็นวันเกิดของคุณแม่
“แม่ส่งข้อความมาหาผม แม่ถามผมว่าผมจะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านได้มั๊ย ผมยุ่งจนไม่ได้ตอบกลับเลยอ่ะ ผมควรจะทำไงดีเนี่ย”
ตลอดการสัมภาษณ์แทยังดูเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตอนนี้เขากลับดูเขินอายเหมือนเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ เขาน่าจะกลับไปทำหน้าที่ลูกชายแสนดีให้เต็มที่ซักพัก ใครก็ตามที่เคยได้คุยกับเขาแม้เพียงครั้งเดียวก็จะรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่สดใสและแข็งแรงออกมาจากภายในเหมือนพระอาทิตย์ สิ่งที่ทำให้แทยังเป็นศิลปินอย่างที่เขาเป็นอยู่นี้ก็คือความหลงใหลในบทเพลงและเขาก็จะยังเป็น “นักดนตรีผู้ใหญ่” ตราบใดที่เขายังมีสิ่งนั้นอยู่นั่นเอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น