27 พฤษภาคม 2553

[TRANS] TOP บทสัมภาษณ์ใน VOGUE




ท็อป คนที่มีหน้าตาคล้ายเด็ก ตอนนี้เราได้เห็นเค้าในหนังเรื่องแรกกันแล้ว “Into the Fire” ผู้ที่แฟนๆคุ้นเคยกับ

การเห็นเค้าร้องแร็ปอย่างอิสระและดุเดือด กับ การยิ้มที่มุมปากอันหน้าหลงใหล มาถึงตอนนี้เค้าข้ามขั้นมาเป็น

นักแสดงในหนังเรื่องแรกอย่างเต็มตัวแล้ว

หมอกควันหนาปกคลุมผืนป่าสีเขียว เสียงตีกลองล่อยลอยมากระทบหู ในโลกที่ไม่สามารถค้นพบได้ถูกปกคลุม

ไปด้วยสีเขียว สถานที่เงียบสะงัด มีเสียงดังขึ้น และ สถานที่สงบสุขได้ถูกทำลายไป ด้วยเสียง ของกลอง

Thump, dum, thump!! เป็นทางเดียวที่จะอธิบายลักษณะของเสียงได้ ด้วย Oskar ตัวละครจากนวนิยาย

เรื่อง Gunter Grass นี้คืออาวุธของผู้ที่อ่อนแอเพียงชิ้นเดียว ที่เอาไว้ใช้ต่อต้านและท้าทายกับโลกอันทารุณ

และ โหดร้าย

ท็อปตีกลองอย่างนิ่งเงียบ ความคมคายตรงรูปกรามบนใบหน้าแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของการโตเป็นผู้ใหญ่

แล้ว การขมวดคิ้วมาจากความตั้งอกตั้งใจ และ การเม้มริมฝีปาก แต่ ดวงตาสีดำนั้นเบิกกว้าง รูปแบบการจ้องมอง

ของเค้านั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมองตอบกลับไปได้ง่ายๆ



“ผมคิดว่า สิ่งที่อยู่ในใจผมนั้นมันสับสนและวุ่นวายมากครับ ตอนที่เด็กคนอื่นๆ เล่นกันอยู่ที่สนามเด็กเล่น ส่วน

ใหญ่ผมจะใช้เวลาอยู่กับบ้าน อยู่กับตัวเองมากที่สุดครับ ตอนเด็กๆผมจะทำแค่สองสิ่งก็คือ เขียนเนื้อร้อง และ

ร้องแร็ป ครับ ความอ้างว้าง และ ความเหงา ได้กลายมาเป็นพลังประเภทหนึ่งที่ทับถมอยู่ข้างในตัวผม มันจะออก

มาได้ก็ต่อเมื่อผมต้องการครับ ครั้งแรกที่ผมขึ้นเวที ผมได้ค้นพบอีกด้านหนึ่งของผม ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า

มันมีอยู่ อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยสะเพร่า หรือ ไม่ยั้งคิดเลย และ ผมก็จะไม่ใช้พลังงานของผมไปกับสิ่งที่ไร้สติ

หรือโง่เง่า ด้วยเหมือนกันครับ ”



สำหรับเค้าแล้ว เหตุผลที่รับเล่นหนังเรื่อง Into the Fire เป็นเรื่องแรก มีเพียงเหตุผลที่ค่อนข้างจะดูง่ายๆ


“ผมรู้สึกว่า มันไร้เหตุผลที่จะคิดเป็นเรื่องของภาระหน้าที่ เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันจะไม่สามารถสำเร็จได้ ถ้าหาก

ขาดผม” หลังจากที่เห็นท็อปใส่สูท ร้องเพลงเดี่ยวของเขา ในคอนเสิร์ตบิ๊กแบง ได้เป็นตัวกำหนดเลยว่าเค้าได้

บทของ Jang TaeWong อยู่ในมือทันที สำหรับหนังเรื่อง Into the Fire เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของ

สนามรบที่เกิดขึ้นที่ Pohang (สิงหาคม 1950) เป็น เรื่องราวที่เล่าผ่านทางสายตาที่เห็นจากเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี

หนังเรื่องนี้เป็นแรงดลใจจาก นักเรียนทหารที่ส่งจดหมายมาเป็นร้อยฉบับ Lee WooKeun ถึงแม่ของเขา

ท็อปรับบทเล่นเป็น Oh JangBum ผู้ที่เล่าเรื่องราว และ นายพลทหารของกองนักเรียนทหาร



“แม่ครับ ผมฆ่าคนตาย” เค้าเริ่มต้นเขียนจดหมาย



“ผมไม่ทราบมาก่อนเลยว่า เรื่องแบบนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ แฟนๆที่เด็กกว่าผมเข้าใจนักเรียนทหารเพียงแค่ส่วน

หนึ่งที่ปล่อยออกมา ผมต้องการเล่าความจริงของประวัติศาสตร์ครับ เหตุผลที่ผมแร็ป และ ทำเกี่ยวกับฮิปฮอป

ตั้งแต่เด็ก ผมต้องการเล่าเรื่องราวของผมครับ จากข้อเท็จจริงนั้น ในช่วงอายุที่ นักร้องไอดอล ไหลหลั่งมากมาย

ผมควรทำสิ่งที่มีความหมายมากกว่านี้ครับ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเค้าแล้ว ”



ท็อป เขียน ดั่งเหมือนเป็น Oh JangBum ถ้าหากอยู่ในยุคสมัยใหม่


อะไรคือจุดประสงค์หลักสำหรับเค้าของการมาเป็นดารา และ สามารถทำเงินได้มากมายตั้งแต่ยังเด็ก

“นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่เสมอๆ เหมือนกับคนอื่นละครับ และ ผมไม่คิดว่า ใครชักคนจะมีคำตอบให้กับชีวิตกับตน

เอง ผมไม่เคยหาคำตอบได้เลย ดั่งจำนวนผู้คนที่เพิ่มขึ้นรอบๆตัวผม ก็แค่สนุกกับมันแทนครับ ผู้รู้สึกว่าผมมีความ

รับผิดชอบมากขึ้น และ เมื่อเวลาผ่านไป ผมต้องการมีความสมบูรณ์แบบให้มากกว่านี้เพื่อพวกเขาครับ”

อิทธิพลของความรู้สึกนึกคิดในเรื่องของการรับผิดชอบ ที่อยู่รอบตัวเค้าสามารถเทียบได้กับนายพลทหารของนัก

เรียนทหาร ใครกันคือ ท็อป บุคคล คนหนึ่ง ไม่ใช่ดาราหรอกหรอ



“ผมไม่ทราบครับ ผมไม่เคยออกไปไหนมาไหนกับ ท็อป เพราะฉะนั้นผมไม่รู้ แต่ผมคิดว่า ผมเป็นคนที่มีความ

รับผิดชอบสูงครับ ผมก็ไม่อยากพูดแบบนั้นหรอกครับ เดี๋ยวผมจะได้ขุดหลุมฝังตัวเอง (หัวเราะ)”



ท็อป เริ่มอยู่ที่ Hapchun 6 เดือน หลังจากที่ละครเรื่อง Iris จบการผลิต โรงแรมเก่าๆนั้นคือบ้านหลังที่สองของ

เค้า ตั้งอยู่ในเขตเล็กๆ ที่ห่างจากชนบท มีร้านอาหารเพียงไม่กี่แห่ง มันฝรั่งต้ม อาหารจีน และ ในบางครั้งเค้าก็

กินอาหารทั้งหมด ความเป็นอยู่มันช่างแตกต่าง เมื่อ เปรียบเทียบกับความเป็นอยู่ของเหล่าไอดอล


“ประมาณช่วง 6 โมงเย็นหลังจากการถ่ายทำ ผมกลับไปที่ห้องพักครับ และ หลังจากการทบทวนบท หลังจากนั้น

ไม่นานผมจะรู้สึกเหงา และ คิดมาก ดั้งนั้น ผมจึงดื่มไวน์และหลับไป ”


บางครั้งเค้าต่อสู้ในความฝันกับ ชา ซึง วอน ผู้ที่รับบทเป็น นายพลทหารของเกาหลีเหนือ ปาร์ค มู เรียง ในช่วง

เวลานั้น มีอีกอย่างหนึ่ง คือคอนเสริทที่ญี่ปุ่น ท๊อป ไม่สามารถที่จะไปปรากฏตัวที่ไหนได้ ได้เพียงแต่เป็น Oh

JangBum เท่านั้น ท็อป รู้สึกว่าบทบาทครั้งนี้จะไม่มีทางสำเร็จถ้าหากขาดการให้ตัวของเค้าทั้งหมด ประธานของ

บริษัท วายจี ยางฮยอนซอก ใส่ความเชื่อมั่นลงไปในการตัดสินใจของท็อป สำหรับบทบาทครั้งนี้

จนมาถึงตอนนี้ ท็อปใช้ชีวิตอยู่ในแบบความต้องการของเค้าเอง เค้าคือบุคคลที่รู้จักในนามของการเป็นประเภท

ที่ไม่ทำตัวอยู่ภายใต้คำสั่งของคนอื่น ในเรื่องของการฟังแนวดนตรี เพลง ฮิบฮอป และ ชื้อเสื่อผ้าของตัวเอง

ท็อป แอบทำงานพาทไทม์ที่ร้านขายเสื้อผ้าที่ LeeTaeWon โดยผู้ปกครองของเค้านั้นไม่ทราบเลย เทมโป

ชื่อที่ใช้เมื่อตอนอยู่ใต้ดิน เค้าเริ่มต้นไปพับใต้ดินชื่อว่า HongDae สถานที่ที่เค้ามีชื่อเสียง


“เมื่อถึงตอนอายุ 20 ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ‘ผมต้องลองทำมันทุกอย่าง’ นั้นคือความตั้งใจของผมที่คิดไว้ครับ

ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้กังวล แต่ผมไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายนะครับ”


เค้าเคยใส่เสื่อผ้ามามากมายหลายแบบ เค้าเริ่มที่จะเหนื่อยและเบื่อแล้ว จะมีผู้ชายสักกี่คนที่สามารถใส่เสื่อผ้า

ของ John Galliano และ สูทของ Tom Brownได้ ดั่งวัย 24 ปี ในแบบฉบับของตนเอง

ท็อปไม่เคยไปออดิชั้นเพื่อไปเป็นนักร้องเลย ท่านประธาน ยาง ฮยอน ซอก เรียกตัวเค้าหลังจากที่จีดราก้อนได้

มอบแผ่นเพลงแร็ปเดโมที่ทำโดยศิลปินเทมโป จนกระทั้งทุกวันนี้ วายจี ไม่เคยเรียกตัวคนที่ไม่ได้ผ่านการตัดสิน

บนเวทีมาก่อนเลย แม้ว่าเค้าจะอายุ 20 ในช่วงที่บิ๊กแบงเดบิว การเป็นเป็นเด็กฝึกหัดของเค้านั้นมันสั้นนักเมื่อ

เทียบกับสมาชิกคนอื่นๆ



“ถามผมว่าเคยล้มเหลวมั้ย? ไม่ครับ ผมไม่ใช้คนผูกใจเจ็บ แต่ถ้ามีสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ผมจะพยายามเอามาให้

ได้มากที่สุดด้วยทางใดทางหนึ่งครับ หลากหลายโอกาสเกิดขึ้นใกล้ตัวผมดั่งเช่นโชคชะตาพากำหนด แน่นอน

ครับ ผมทำงานหนัก และ ทุกครั้งที่ทำก็จะทำให้มันดีที่สุดครับ”



เค้าไม่เคยคิดที่จะเป็นนักแสดงมาก่อนเลย แต่เค้ากลับได้รับเล่นเอ็มวีเพลง Hello ของ Red Rock ในปี 2007

โดยในเอ็มวี ท็อปรับบทเป็นผู้ที่มีรอยแผลอันเนื่องมาจากความรัก และ เค้ายังต้องโกนผมตนเองอีกด้วย ในปี

เดียวกันนั้น เค้าก็ได้รับบทเป็นนักเรียนมัธยมปลายในละครเรื่อง I am sam และยังมีละครที่ทำร่วมกันระหว่าง

เกาหลี – ญี่ปุ่น เรื่อง I am , 19 และ Iris ติดตามต่อหลังจากนี้



“ผมไม่เคยเรียนการแสดงอย่างจริงๆจังๆเลยครับ ในตอนเริ่มแรก ทางเอเจนซี ได้ จ้างครูสอนมาให้ผมแต่เขานั้น

ก็ต้องลาออกเพราะผม พวกเขาบอกว่า การพูดจา และ โทนเสียงของผมนั้น...ก็แค่เสียงของผมมันต่างจากคนอื่น

เกินไป ที่จะสามารถแสดงร่วมกันได้ ความจริงก็คือ ถ้าหากเทียบกับแร๊ปเปอร์คนอื่นๆแล้ว ผมก็ยังร้องเสียงที่

แตกต่างกันอะครับ ”



นักแสดงผู้ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ไม่ได้กล่าวถึงข้อบกพร่องถึงตัวเค้าเลย ในวันที่แถลงข่าวกับสื่อมวลชน

ชา ซึง วู กล่าว “ซึงฮยอน(ท็อป) มีใบหน้าที่ผมอยากมีเมื่อตอนที่ผมอายุ 20” คิม ซึง วู กล่าว “มันทำให้ผมสงสัย

ว่า ถ้าผมสามารถแสดงเหมือนเค้าได้ ในตอนที่ผมอายุเท่าเค้าผมจะทำได้หรือป่าว ฉะนั้นเค้าคือนักแสดงที่มีคุณ

ค่าแกการจับตามองจริงๆครับ ” ควาง ซาง วู กล่าวอย่างภูมิใจว่า “เค้าแสดงได้ดีมาก ไม่ใช่แค่ฉากต่อสู้เท่านั้น

ฉากที่ต้องใช้อารมณ์อ่อนไหวเค้าก็ทำได้ดีไม่แพ้กันนะครับ”



ประโยคที่น่าประทับใจถูกกล่าวถึง ท็อป ผู้ที่ต้องอาศัยอยู่ในกองถ่ายทำเนื่องจากมีฉากที่ต้องถ่ายเป็นจำนวนมาก

ลักษณะเฉพาะของ เช้นในเรื่องจังหวะของแร็ปเปอร์ จริงๆแล้วก็ช่วยเค้าในเรื่องของการพูดสำเนียงอื่นได้ดี ใน

ตอนเริ่มต้น เค้านั้นลำบากมากเพราะการติดนิสัยของเค้าที่จะเน้นคำสุดท้ายเพื่อเป็นจังหวะ แต่เมื่อเค้าได้ลองฟัง

ดูแล้ว เค้าก็จะสามารถพูดเลียนแบบสำเนียงนั้นได้อย่างดี



“ผมต้องการที่จะทำให้ทุกคนประหลาดใจกับสำเนียงของผม แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็ไม่อยากได้ยินว่า ‘ท็อปเปลี่ยน

แปลงไปเป็นนักแสดงเสียแล้ว’ แม้กระทั่งตัวผมเอง ผมก็ยังไม่ทราบเลยว่าผมเป็นใคร แต่คำว่า เปลี่ยนแปลง

มันสามารถทำให้เข้าใจผิดได้ครับ”



แม้ต้อนที่เค้าเป็นนักแสดง ชื่อที่ใส่ไว้ก็ยังเป็น ท็อป ซึ่งมันไม่ใช้ชื่อจริงแต่อย่างใด (ชเวซึงฮยอน) สำหรับเค้า

แล้ว ชื่อ ท็อป ไม่ได้ใช้แค่บนเวทีอย่างเดียว มันคือบทบาทที่เค้าเคยใฝ่ฝันไว้ในใจในตอนก่อนเดบิว เค้าเคย

สร้างบทบาทนี้มาแล้ว จากการแสดง และ การแสดงอารมณ์ของใบหน้า แม้แต่ความอ่อนหนุ่มของมือในการ

เคลื่อนไหว



“ผมไม่สามารถอธิบายได้ในรายละเอียด แต่มันมีความเป็นสองสิ่ง ความใส่ชื่อ และ ส่วนของสิ่งนั้นไม่สามารถ

เปลียนได้ ผมเป็นคนที่ไม่คิดถึงสิ่งเลวร้าย และ ไม่ทำสิ่งที่เป็นเล่ห์นัย แต่ผมก็ไม่เคยขึ้นไปร้องแร็ปแบบชัด

แจ้งตรงๆ หรือ แบบความใส่ชื่อเลยนะครับ จริงมั้ย? ท็อป ที่อยู่บนเวที อาจจะเป็นผมจริงๆ หรือ อาจจะไม่ใช่

ตัวผมจริงๆ ก็เป็นได้ ”



ในขณะที่บุคคลนี้สามารถร้องแร๊ปได้อย่างมั่นใจ จ้องมองกล้อง พร้อมกับพูดจาอย่างเป็นกันเอง แต่เค้านั้นไม่

สามารถมองตาคนที่พูดคุยกับเค้าได้เลย



และนี้คืออีกด้านหนึ่งของท็อป คนที่ไม่สามารถมั่นใจว่านี้ใช้ตัวเค้าจริงหรือ จ้องมองผ่านกล้องดวงตาของท็อปก็

เอ่อท่วมไปด้วยน้ำตา จากนั้นน้ำตาก็หยดลงมา ชายที่เต็มไปด้วยความร่าเริงและทำให้ผู้อื่นหัวเราะกับการแกล้ง

ทำเป็น Mickey Rourke ใน Wrestler ไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เด็กผู้ชายที่ถือปืนยาวไร้กระสุน ในตอนนี้คือ

Oh JangBum ทุกคนจ้องมองเค้าในขณะที่ต้องคุมการหายใจ มีเพียงเสียงของเครื่องทำควัน ที่เผาไหม้เมล็ด

กาแฟเป็นการแสดงถึงการยิง ผืนป่าเต็มไปด้วยกลิ่นของเมล็ดกาแฟโดยทันที ช่างภาพ Hong JangHyun ถ่าย

ภาพด้วยกล้อง ยุค 70 Hasselblad ฟิล์ม รุ่นที่เลิกผลิตไปแล้ว เค้าเคยถ่าย ท็อป มาแล้วประมาณ 20 ครั้ง



เริ่มตั้งแต่โปรโมทอัลบั้มเพลง Lie ของ บิ๊กแบง ถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นช่างภาพอยู่แล้ว แต่การแสดงสีหน้าของเค้า

หลังจากการมองดูเค้าในวันนี้ มันเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเค้านั้นมีรัศมีของการเป็นนักแสดง มันเป็นบางอย่างที่ไม่

สามารถค้นพบได้เมื่อเค้าอยู่กับสมาชิกทั้ง 4 คน ท็อป แสดงอารมณ์ได้หลากหลายภายในภาพเดียว ความ

ปรารถนาอันแรงกล้า ความกลัว และ ความอ่อนแอต่อการเชื่อใจ ที่วิ้งอยู่บนใบหน้าที่ดูเด็กของเค้า ในสนามรบที่

บ้าคลั่งในเต็มไปด้วยคนที่เติบโตแล้ว เค้าเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องเตือนใจครั้งสุดท้ายในแบบใส่ชื่อ

ของมนุษยชาติ


“ตอนนี้ผมเป็นเด็กที่เพิ่งตระหนักได้ว่า ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองสำหรับชีวิตผมมากแค่ไหน แต่นั้นก็ไม่ได้หมาย

ความว่าผมไม่มีความสุข ผมแค่เคยเอนเอียงไปในทางที่ผิดก็เท่านั้นเองครับ แต่หลังจากได้อ่านบทของหนังแล้ว

ผมคิดเลยทันทีว่าขอบคุณที่ทำให้ผมไม่ได้ไปเกิดในยุคนั้น ผมหวังว่าเด็กสมัยนี้จะตระหนักได้เช่นกัน”



เดือน สิงหาคม วันที่ 11 ปี 1950 นักเรียนทหารชื่อ Lee WooKeun ถูกพบศพอยู่ที่สนามรบ ตรงข้ามกับ โรงเรียน

หญิงล้วน Pohang ในขณะที่มีการต่อสู้อย่างดุเดือด ณ Dabu-gong จากทหารจำนวนทั้งหมด 78 นายในกอง

ทหาร สิ้นชีพทั้งหมด 48 นาย รวมทั้ง ทหาร Lee นั้นคือเรื่องราวที่ถูกจารึกไว้


ในขณะนี้ ใจกลางป่าใหญ่อันสงบสุข ท็อป ตั้งอาวุธขึ้นในท่าพร้อมรบ


“โปรดฟังเรี่องราวของผม” Thum, dum, thump !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น