30 มิถุนายน 2553
[TAEYANG] Tell me goodbye เคยเป็นเพลงของผมครับ
SOL "อันที่จริงตอนแรก เพลงTell me goodbye จะเป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกของผมครับ (แอบเศร้า)
แต่หลังจากที่สมาชิกในวงได้ฟังเพลงนี้แล้วพวกเขาก็บอกว่า"มันดีมากเลย! ให้มันเป็นเพลงของBIGBNAGเถอะ!!"
แต่ในตอนนั้นผมได้บันทึกเนื้อเพลงไปเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเราก็ได้บันทึกกันอีกครั้งกับBIGBANGครับ
ดังนั้นเพลงของผม(หมายถึงtell me goodgyeที่อัดไว้ก่อนหน้านี้)เลยถูกปล่อยไว้อย่างนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกเสียใจนะที่มันไม่ได้เป็นเพลงของผม
ผมหวังอย่างนั้นจริงๆนะ (หัวเราะ) แล้วมันก็กลายมาเป็นเพลงที่ดีมากๆ ผมก็ดีใจที่พวกเราได้ร้องร่วมกัน แต่ยังไงซะ ผมก็ยัง...ฉุนอยู่ดีหล่ะครับ(ทุกคนหัวเราะ)
[NEWs] TOP ฝากข้อความถึงแฟนคลับใน Blog “Into the Fire”
หวัดดีครับ
ผมคือ T.O.P BigBang ชเวซึงฮยอน ครับ!
ฤดูหนาวที่เพิ่งผ่านไปอากาศหนาวมากเป็นพิเศษเลยนะครับ
ตอนที่ผมกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ Into the Gunfire
รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง
แต่ตอนนี้ก็เข้าสู่หน้าร้อนเรียบร้อยแล้ว
ภาพยนตร์ Into the Gunfire เดินทางมาถึงตอนท้ายของการถ่ายทำ
แล้วตอนนี้ก็ได้ปล่อยออกสู่สายตาของทุกคนอย่างเป็นทางการแล้วด้วยครับ
“ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่าและเต็มไปด้วยความอบอุ่น”
นั่นเป็นบทวิจารณ์ที่คนเก่งๆพูดถึง Into the Gunfire
ผมคอยเช็คบทวิจารณ์ภาพยนตร์ด้วยตัวผมเองเลยครับ
ได้เห็นข้อบทความชมเชยและให้กำลังใจมากมาย
และผมก็ใช้ชีวิตทุกๆวันที่ผ่านไปด้วยความขอบคุณจริงๆครับ
ตัวละครที่ชื่อ Jang Bum Oh ที่ผมได้รับบทบาทนั้นยากมากครับ
ทำให้เวลาที่ถ่ายทำภาพยนตร์ จิตใจของผมสับสนมาก เป็นช่วงเวลายากลำบากที่ผมต้องผ่านไปให้ได้
ผมทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีไปกับการถ่ายทำโดยไม่คิดถึงเรื่องอะไรเลย
หลังจากครึ่งปีผ่านไปในที่สุดผมก็สามารถหาความสงบสุขเล็กๆได้แล้วในตอนนี้
และผมยังมีเวลาที่จะคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ผมจะใช้เวลาที่มีคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาครับ
และในวันที่ผ่านมาใครที่ได้ไปดูภาพยนตร์ Into the Gunfire บ้างครับ
บนเวทีผมยืนทักทายคนดู ใน ในโรงภาพยนตร์
มีคนรุ่นใหม่มากมายที่ให้ความสนใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และมาดูมัน มาพิสูจน์มันด้วยตาตัวเอง
ผมรู้สึกมีความสุขมากๆเลยครับ
นั่นคือเหตุผลที่ผมตัดสินใจเข้าร่วมแสดงในภาพยนตร์ Into the Gunfire ในตอนแรก
ดูเหมือนมันจะบรรลุเป้าหมายที่ผมตั้งไว้แล้วหล่ะครับ
ภาพยนตร์ Into the Gunfire เหมาะสมแล้วที่จะได้รับความสนใจและได้รับความรักมากมายแบบนี้
ผมเขียนข้อความนี้ด้วยตัวผมเองเพื่อแสดงความขอบคุณ
ผมอยากให้พวกคุณทุกคนรักภาพยนตร์ Into the Gunfire ของพวกเราครับ
และผมขอบคุณจริงๆสำหรับคนดูที่ได้ไปดู Into the Gunfire ของพวกเราครับ
สุดท้ายนี้
ขอให้ทุกคนแข็งแรงในสภาพอากาศที่ร้อนมากๆแบบนี้นะครับ
และผมอยากจะขอให้ทุกๆคนให้ความรักกับผลงานเพลงเดี่ยวเพลงแรกของผม
Turn it up ที่ถูกปล่อยออกมาอย่างรวดเร็วด้วยนะครับ
28 มิถุนายน 2553
จี ดรากอน (G-Draon) เตรียมปรากฏตัวในเวทีคัมแบ็คของ แทยัง (Tae Yang) ในวันที่ 1 กรกฏาคมนี้
แท ยัง เตรียมเปิดตัวเพลงไตเติ้ลใหม่อย่าง 'I Need A Girl' ขณะเดียวกันทางด้าน จีดรากอน ก็เตรียมได้ปรากฏตัวแร็พฟีเจอร์ริ่งในเวทีของเขาด้วยเช่นเดียวกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเป็นศิลปิน ฝึกหัดในวัย 13 ปีนั่นเอง
จีดรากอนมักพูดเสมอว่า "แทยังเป็นเพื่อนที่เจ๋งกว่าผมอีกครับ" "ผมเทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลยครับ" คำตอบของเขาเผยให้เห็นถึงความรักที่มีให้กันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะล่าสุด จีดรากอน ก็ได้ยังได้สวมเสื้อที่มีคำว่า 'I Need A Girl' เพื่อเป็นการบอกว่าเขาได้ร่วมงานในผลงานเพลงไตเติ้ลในอัลบั้มใหม่ของแทยัง นั่นเอง
แทยัง ก็เช่นเดียวกัน เขากล่าว "การที่ผมมีเพื่อนรักอย่างจีดรากอนทำให้ผมรู้สึกมีความมั่นใจครับ" เขากล่าว ถึงแม้ว่าจีดรากอนจะได้ร่วมแร็พฟีเจอร์ริ่งในผลงานเพลงไตเติ้ลของแทยังแล้ว แต่จีดรากอนก็ยังได้ร่วมประพันธ์เพลงอย่าง 'After You Fall Asleep' อีกด้วยเช่นเดียวกัน
แทยังกล่าว "เนื่องจากเวทีนี้เป็นการคัมแบ็คหลังจากผมห่างหายไปนานมันทำให้ผมเครียดและ ตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน แต่เพราะว่าผมมีจีดรากอนอยู่ข้างกายมันทำให้ผมมั่นใจครับ ผมจะเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อให้โชว์ออกมาสุดยอดมากที่สุดครับ"
อนึ่ง แทยัง เตรียมปรากฏตัวคัมแบ็คในรายการ Mnet 'M!Countdown' ในวันที่ 1 กรกฏาคม ตามด้วย MBC 'Show! Music Core' และ SBS 'Ingygayo' โดยเขาจะได้ร่วมกับจีดรากอนด้วยเช่นกัน
26 มิถุนายน 2553
[NEWS] แทยัง (Tae Yang) เปิดตัวพรีวิวเพลงอินโทร 'SOLAR' พร้อมพรีวิว 6 เพลง
แทยัง (Tae Yang) แห่ง บิ๊กแบง (BIGBANG) เปิดตัวทีเซอร์เพลงอินโทร 'SOLAR' ผ่านทางเว็บไซต์หลัก (http://www.ygbigbang.com/taeyang) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2553
สำหรับเพลง 'SOLAR' เป็นเพลงที่ แทยัง มีส่วนร่วมในการประพันธ์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเนื้อหาในท่อนที่ว่า 'I think its time to let the sun shine (ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องให้พระอาทิตย์ฉายแสง)' ก็ยิ่งทำให้แฟนๆต่างให้การจับตามองต่อการคัมแบ็คของเขาในครั้งมากยิ่งขึ้นไปอีก
ชาวเน็ตกล่าวเมื่อได้ฟังเพลง 'SOLAR' กล่าว "มันคุ้มค่าต่อการรอคอยตลอด 2 ปีจริงๆ" "ถ้าอินโทรยังขนาดนี้เพลงอื่นๆในอัลบั้มไม่อยากคิดเลยจริงๆ" ต่างกล่าวท่ามกลางความพึงพอใจ
ต้นสังกัด YG เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้แทยังได้เปิดตัวรายชื่อเพลงทุกวันอย่างต่อเนื่องมาแล้ว โดยเฉพาะเพลงไตเติ้ลที่ประพันธ์เนื้อร้องทำนองโดย จอนกุน และร่วมฟีเจอร์ริ่งโดย จีดรากอน (G-Dragon) ก็ทำให้แฟนๆต่างสงสัยกันมากยิ่งขึ้นว่าผลงานอัลบั้มนี้จะออกมาเป็นอย่างไรกันแน่
อีกทั้ง ซานดาราพัค ก็ยังจะได้ปรากฏตัวในมิวสิควีดีโอของ แทยัง อีกด้วยเช่นเดียวกัน
แทยัง เปิดเผยว่าเพื่อเป็นการเอาใจแฟนเพลงจะมีการเปิดตัวเพลงตัวอย่างความยาว 1 นาที รวม 6 เพลง (ไม่รวมเพลงไตเติ้ล) ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2553
อนึ่ง แทยัง เตรียมวางจำหน่ายอัลบั้มเดี่ยวเวอร์ชั่น 'SOLAR Deluxe Edition' ในวันที่ 1 กรกฏาคมนี้ ส่วนเวอร์ชั่นปกติจะวางจำหน่ายในวันที่ 9 กรกฏาคม 2553
25 มิถุนายน 2553
[NEWS]100615 ท็อป (TOP) แห่ง บิ๊กแบง (BIGBANG) เปิดตัวเพลง
ท็อป (TOP) แห่ง บิ๊กแบง (BIGBANG) สมาชิกคนสุดท้ายที่ลุยงานเพลงเดี่ยว
ท็อป เตรียมเปิดทีเซอร์ตัวผลงานเพลงเดี่ยว 'TURN IT UP' ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ และพร้อมเปิดตัวในรูปแบบดิจิตอลซิงเกิ้ล 21 มิถุนายนนี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในคอนเสิร์ต '2010 BIGSHOW' ท็อปเคยได้เปิดตัวเพลง 'TURN IT UP' ในคอนเสิร์ตจนได้รับความสนใจจากแฟนๆเป็นอย่างมากมาแล้ว สำหรับผลงานเพลง 'TURN IT UP' ก็ได้เตรียมบรรจุอยู่ในอัลบั้มไลฟ์คอนเสิร์ต '2010 BIGSHOW' ที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 23 มิถุนายนนี้เช่นเดียวกัน
ผลงานเพลงนี้ท็อปมีส่วนร่วมโดยตรงในการประพันธ์เนื้อร้องและทำนอง ซึ่งเน้นซาวน์ของเบสที่หนักหน่วงและบีทของฮิพฮอพที่ทำให้ติดหูผู้ฟังได้ อย่างรวดเร็ว สำหรับผลงานเพลงนี้เตรียมเปิดตัวผ่านช่องทางออนไลน์ในรูปแบบเพลงและมิวสิควี ดีโอ แต่จะไม่มีการทำกิจกรรมในรายการโทรทัศน์แต่อย่างใด
ในทีเซอร์ 'TURN IT UP' ท็อปปรากฏตัวในสัมผัสที่ราวกับนายแบบพร้อมกับเสื้อผ้าสุดหรูที่มาในสไตล์ของ หนุ่มฮิพฮอพ เขาเตรียมแร็พร่วมกับบรรดาหญิงสาวสุดเซ็กซี่ ซึ่งนับเป็นการพลิกเสน่ห์ของเขาอีกครั้งหนึ่ง
ท็อป เผยหลังจากที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในผลภาพยนตร์เรื่อง '71-Into The Fire' กล่าว "เมื่อหลายเดือนก่อนผมถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งๆที่ไม่มีความมั่นใจเลยครับ ในวันข้างหน้าสิ่งที่ผมอยากทุ่มเทให้อย่างเดียวคือกิจกรรมในนามของบิ๊กแบ งครับ" เขากล่าว
ตอนที่ 1 สัมภาษณ์ท็อป จาก 10asia
TOP: "ผมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงที่สุดของตัวเอง"
ในภาพยนตร์เรื่อง into the fire
"แร๊พเปอร์ผู้ที่มีเบื้องหน้าเหมือนดั่งหมาป่า แต่กลับมีนิสัยเหมือนแกะน้อย " คำพูดที่ดูขัดแย้งกันเองนี้ ที่แฟนๆเขียนขึ้นมาดูจะสามารถอธิบาย ความเป็นท็อปได้ตรงที่สุด ท็อปอาจจะดูเป็นแร๊พเปอร์ที่มีเสียงหนาๆและท่าทางที่โฉบเฉียว แต่เค้าก็ยังเก็บเอาความรู้สึกที่อ่อนไหวเอาไว้ มุมที่เค้ายังชอบฟังเพลง อย่าง Damien Rice และ Labelle อยู่
และเค้าอาจจะเป็นสมาชิกของวงไอดอล วงหนึ่งที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในเกาหลี แต่ในช่วงวัยรุ่นที่ผ่านมา เค้าใช้เวลาส่วนมากไปกับการ
เตร็ดเตร่และต่อสู้กับตัวเอง ดังนั้น เมื่อเราถามเค้าว่าอะไรที่เค้าต้องการเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดง หรือ ถามเค้าว่า เค้ามีโครงการหรือแผนการอย่างไรในฐานะ แร๊พเปอร์ผู้โด่งดัง กลับกลายเป็นเรื่องที่เสียเวลาที่จะมาพูดกันในเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะ ตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงบัดนี้ เค้าใช้เวลาทั้งหมดของเค้านั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนเนื้อเพลงที่อธิบายถึงตัวตนของตัวเอง ซึ่งเค้ายังคงจะทำอย่างนั้นต่อไป ท็อปกล่าวว่าเค้าเลือกรับแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเค้า "มองเห็นตัวเอง" ในบทบาทนี้ เค้ายังคงความเป็น ชายอายุ 24 ลงไปในบทของนักเรียนทหาร Oh jang bom ที่มีอายุเพียง 17 ได้อย่างไร เราจะมาพูดคุยกับท็อปทั้งในเรื่องการแสดง การแร๊พ และ ตัวตนของเค้า
================
Q: คุณรู้สึกยังไงบ้างที่วันนี้ได้มาให้สัมภาษณ์ในฐานะที่เป็นตัวเองไม่ใช่หนึ่งในสมาชิกของวงบิกแบง ??
T.O.P: ในวงบิกแบง มีสมาชิกหลายคนที่พูดเก่งครับ
ดังนั้นผมจึงไม่เคยที่จะต้องออกมาพูดจริงๆซักกะที แต่ตอนนี้ผมพูดเยอะขึ้นแล้วนะครับ
หากผมกลับไปเป็นสมาชิกวงบิกแบงอีกครั้ง พวกเค้าคงต้องให้ผมพูดเยอะแน่เลย ดังนั้นผมควรที่จะพูดน้อยๆนะวันนี้ ( หัวเราะ)
===================
"การถ่ายทำภาพยนตร์ ทำให้ผมมีอิสระมากขึ้น"
Q: ในฐานะนักแสดง งานนี้เป็นงานชิ้นที่สามของคุณแล้ว
ในตอนถ่ายทำ ยิ่งถ่ายมากคุณจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นหรือยิ่งถ่ายก็ยิ่งกดดันมากขึ้น ???
ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับการแสดง??
T.O.P: ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม ผมไม่เคยที่จะถูกกลืนไปกับสิ่งที่ทำได้ทันทีหรืออินกับมันทันที ผมมีความสุขเสมอเวลาทำงานแต่ผมก็มีเรื่องให้กังวลเสมอด้วยเช่นกัน ผมจะทำมันด้วยความระมัดระวังที่สุดและคิดอย่างระเอียดที่สุดด้วย ผมรู้สึกว่าที่ผมเป็นแบบนั้นเป็นเพราะ ผมมักจะมีบางสิ่งบางอย่างให้กลัวอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ ความกลัวที่ว่าดูเหมือนจะหายไปแล้วฮะ ซึ่งผมคิดว่ามันดีต่อผมนะ
Q: ก่อนที่ฉันจะมาสัมภาษณ์คุณฉันได้สัมภาษณ์ Cha Seung-Wonและ Kim Seung-Woo
พวกเค้าต่างเรียกคุณว่า " ซึงฮยอนของเรา" ( "Woo-ri Seung-hyun-ee" ) คุณท่าทางจะเป็นรุ่นน้องที่รุ่นพี่เอ็นดูมากๆ
T.O.P: ผมรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่และผู้กำกับมากๆครับ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม หากผมได้เจอคนที่มีศักดิ์เหนือกว่าหรือว่าพวกรุ่นพี่ มันจะเป็นเรื่องยากนิดหน่อยสำหรับผมนะครับ
ผมจะระมัดระวังมากและรักษามารยาทมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเค้าที่จะเข้าถึงตัวจริงของผม
แต่พวกรุ่นพี่ก็ยังเข้าหาผมก่อนเพื่อที่ว่าผมจะได้สนิทกับพวกเค้าเร็วขึ้น ทำตัวเป็นปกติ และได้ทำงานร่วมกับพวกเค้า
ในตอนที่ถ่ายทำ จะมีรุ่นพี่รุ่นน้อง และผู้กำกับ แต่พอเสร็จการถ่ายทำ เราจะสนิทกันพวกเค้าเหมือนเป็นพี่ชายที่สนิทของผมครับ
Q: ได้ยินมาว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงมีอิทธิพลในเรื่องการแสดงของคุณ แต่มันยังมีผลต่อชีวิตและความรู้สึกของคุณด้วย??
T.O.P: ผมรู้สึกอะไรมากมายจากการเฝ้าสังเกตพวกรุ่นพี่ฮะ ผมชอบหุ่นตุ๊กตาพลาสติก ซึ่งผมคิดว่าผมรู้สึกได้ถึงความมั่นคงในพวกมัน ผมคิดว่าวัสดุที่แข็งๆ หรือโครงสร้างสัดส่วนของหุ่นตุ๊กตาพลาสติกเหล่านี้ มันสมบูรณ์แบบ รูปแบบที่ไม่มีอะไรสามารถส่งผลกับมันได้ทำให้ผมสนใจมาก ผมเชื่อว่าความมั่นคงแบบนี้ เป็นสิ่งที่ผมได้เห็นจากพวกพี่ๆเหมือนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่มีการถ่ายทำ พวกเค้าจะโทรศัพท์กลับบ้านตลอด เมื่อเห็นแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกอะไรมากมาย ผมมาตระหนักได้ว่าในชีวิตผม ผมไม่มีรูปแบบความมั่นคงแบบนั้นอยู่เลย ผมจะคิดว่า " อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในวันพรุ่งนี้?? แล้วหากไม่มีวันพรุ่งนี้ละ?? " แต่นี่ก็ทำให้ผมรู้สึกอิสระมากขึ้น
Q: นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณเลือกรับที่จะแสดงในบท Oh jang bom ใช่ไม๊?? เพราะ jangbom เค้าเพิ่งจะอายุ 17 แต่เค้าต้องมอบชีวิตวัยหนุ่มของเค้าหมดไปกับสงคราม เค้าต้องเจอกับปัญหาที่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงและความไม่แน่นอนต่างๆ??
T.O.P: นั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดผมเข้ามาฮะ เพราะเค้าเป็นแค่เด็กอายุ 17 กับความไม่แน่นอนต่างๆ เพราะแบบนั้นผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็น Oh jang bom หรือผม เราต่างต้องการที่จะเป็นผู้ชายที่มีความมั่นคง ผมยังคิดด้วยว่า Oh jang bom มีบุคคลิกที่คล้ายๆกันกับบุคคลิกของผม ผมคิดว่าเราเหมือนกันมากโดยเฉพาะ วิธีที่เราคิดหรือแสดงออกเวลาที่เราอยู่คนเดียว
Q: ในตอนที่คุณแสดงเป็น vic ในละครทางช่อง KBS คุณได้จินตนาการบทบาทที่ได้รับจากคนคนนึงในภาพยนตร์ ด้วยวิธีนั้น คุณจินตนาการว่า วิค จะต้องเป็นอะไรที่เหนือจริงมากๆ เป็นตัวละครในจินตนาการ แต่ในตัวคุณ คุณมีพื้นฐานของตัวละครที่เป็นคนจริงๆ คุณ???
T.O.P: ผมพยายามที่จะโชว์ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมรู้สึกว่าเค้าไม่ใช่แค่บทบาทแต่ผมกำลังแสดงเป็นตัวเอง ผมพูดไม่ได้หรอกครับว่าผมโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ผมใช้เวลาในช่วงวัย 20 นี้เติบโตผ่านการทำงานมากมาย ผมเชื่อว่าผมเติบโตขึ้นทีละนิดๆ ผมอยากจะแสดงออกถึงการเติบโตดังกล่าวผ่านลงไปในบทบาทของ oh jang bom เค้าถูกบังคับให้มอบชีวิตในช่วงวัยรุ่นให้กับสงคราม ทั้งๆที่มีอายุเพียง 17 ปี ในฐานะ ร้อยโทหัวหน้ากองนักเรียนทหารเค้าถูกบังคับให้ต้องรับผิดชอบภาระอันยิ่งใหญ่ เค้าถูกบังคับให้ต้องโตและเป็นผู้ใหญ่ในเวลาอันสั้น ผมรู้สึกว่า ถ้าผมไม่เคยผ่านช่วงที่ต้องเติบโตมาแบบนี้ ผมคงจะกลัวที่จะรับบท oh jang bom นี้เหมือนกัน
==================
"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมเก็บตัวมาก"
Q: เป็นยังไงบ้างกับการที่ต้องแสดงออกถึงอารมณ์ของเด็กอายุ 17 ??
T.O.P: ผมคิดว่าบางส่วนในตัวผมยังคงเป็นเด็กอยู่นะครับ หนึ่งในเหตุผลที่ผมชอบพวกหุ่นตุ๊กตาเป็นเพราะว่าผมต้องการที่จะคงความเด็กเอาไว้ และเพราะ บุคลลิกของ oh jang bom แก่นแท้แล้วเค้า บริสุทธิ์และมีมนุษยธรรมมาก
ดังนั้นผมจึงต้องการที่จะตามหาตัวตนของตัวเองในด้านที่แตกต่างออกไปด้านที่ผมไม่เคยแสดงออกมาก่อนออกมาด้วย
Q: ด้านที่แตกต่างไปเหรอ??
T.O.P: จนถึงตอนนี้ ผมคิดว่าผม คนที่ผมแสดงออกมาในตอนนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากตัวตนของตัวจริงๆของผมอย่างสิ้นเชิงครับผมทำให้มันดูเจิดจรัสมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผมโกหกตัวเองหรือว่าแสดงออกด้านที่ไม่จริงของตัวเองออกมานะครับ ผมเป็นคนที่ทำงานเพลง และผมมักจะต้องแสดงออกถึงตัวตนของตัวเองต่อสาธารณะ แต่ยิ่งผมเข้าใกล้สาธาณชนมากขึ้นๆๆๆ ผมกังวลว่าเค้าจะเกิดเบื่อกับภาพนั้น มันมีจุดนึงที่พวกนักดนตรีต้องไปออกรายการทีวีบ่อยมาก ดังนั้นผมจึงเก็บเอาความกังวลนี้ไว้กับตัวและในเวลานั้นผมเริ่มที่จะเก็บตัวมากๆ ผมอยากที่จะรักษาระยะห่างจากตัวผมกับผู้คน ในตอนนั้น ผมจบลงที่การโชว์ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา
Q: ในการให้สัมภาษณ์ ครั้งนึง คุณกล่าวว่า เพื่อที่จะสร้างบุคคลิกขึ้นมา คุณจะถามคำถามตัวเอง
คำถามอะไรที่คุณถามตัวเองในครั้งนี้??
T.O.P: จริงๆมันมักจะจบลงที่มีคำถามให้ถามมากมายเลยครับ ดังนั้นผมก็เหนื่อยที่จะมาตามลบมันด้วย เมื่อก่อน เวลาที่ผมจะเริ่มแสดง ผมจะคิดว่า "นี่มันถูกรึยังเนี้ย??" และผมก็จะหลงไปกับความคิดที่เข้ามามากมาย ครั้งนี้ ผมโยนความคิดซับซ้อนทุกอย่างในฉากออกไป และผมก็แสดงเหมือนกับที่ผมแสดงบนเวทีในฐานะนักร้อง ผมไม่รู้วิธีการสร้างตัวละครออกมาเหมือนที่พวกรุ่นพี่ทำกัน ดังนั้นผมพยายามที่จะสร้างบุคคลิกออกมาจากประสบการณ์ที่ผมได้รับมา กว่า 5 ปีที่อยู่บนเวที ผมคงทำไม่สำเร็จหากไม่ได้ประสบการณ์จากตรงนี้
Q:ในหนังสือบทความของบิกแบง คุณพูดว่าเวลาถ่ายทำภาพยนตร์ คุณไม่ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนการแสดงเพราะคุณกลัวว่าการแสดงของคุณจะกลายเป็นมาตรฐานเหมือนๆกับคนอื่นๆ ตอนนี้คุณคิดยังไง??
T.O.P: แนวคิดในการแสดงอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนนะครับ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่านี่ตรงกับผม แทนที่จะไปเรียนการแสดงและทำมันออกมาในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง ผมต้องการที่จะแสดงออกมาจากประสบการณ์ที่ได้รับมาจากในอดีตมากกว่า และเก็บเอาความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในตอนที่แสดง เช่น เสียงร้องแร๊พที่ผมร้องออกมานั้นเป็นผลมาจากการพิจารณามาอย่างดีแล้วกว่า 10 ปี มันไม่ใช่เสียงจริงๆของผม ผมตั้งใจทำมันออกมาแบบนั้น และนี่เป็นเหตุผลที่ ท่านประธาน (วายจี) ก็ยังบอกผมเลยว่าเสียงร้องแร๊พของผมเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากคนอื่น ดังนั้น นี่ก็เหมือนกันผมอยากที่จะสร้างวิธีการในการแสดงของตัวเองออกมา หลังจากนั้น บางทีผมอาจจะสามารถไปเรียนรู้ในเรื่องของเทคนิคเพิ่ม
Q: การที่คุณต้องหล่อหลอมตัวเองให้เข้ากับบทเพื่อการแสดง มันไม่ได้สร้างความยากลำบากให้แก่คุณในตอนที่คุณยังต้องทำงานตามตารางที่แสนจะยุ่งกับบิกแบงที่ญี่ปุ่นบ้างหรือ??
T.O.P: ในกองถ่าย ผมจะฟังเพลงเพื่อจะซึบซับอารมณ์ของตัวเองฮะ ผมไม่รู้จริงๆว่าจะเข้าถึงบทได้อย่างรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มานานได้ยังไง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะตั้งสมาธิและอินอยู่กับดนตรีแทนครับ
ในภาพยนตร์เรื่อง into the fire
"แร๊พเปอร์ผู้ที่มีเบื้องหน้าเหมือนดั่งหมาป่า แต่กลับมีนิสัยเหมือนแกะน้อย " คำพูดที่ดูขัดแย้งกันเองนี้ ที่แฟนๆเขียนขึ้นมาดูจะสามารถอธิบาย ความเป็นท็อปได้ตรงที่สุด ท็อปอาจจะดูเป็นแร๊พเปอร์ที่มีเสียงหนาๆและท่าทางที่โฉบเฉียว แต่เค้าก็ยังเก็บเอาความรู้สึกที่อ่อนไหวเอาไว้ มุมที่เค้ายังชอบฟังเพลง อย่าง Damien Rice และ Labelle อยู่
และเค้าอาจจะเป็นสมาชิกของวงไอดอล วงหนึ่งที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในเกาหลี แต่ในช่วงวัยรุ่นที่ผ่านมา เค้าใช้เวลาส่วนมากไปกับการ
เตร็ดเตร่และต่อสู้กับตัวเอง ดังนั้น เมื่อเราถามเค้าว่าอะไรที่เค้าต้องการเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดง หรือ ถามเค้าว่า เค้ามีโครงการหรือแผนการอย่างไรในฐานะ แร๊พเปอร์ผู้โด่งดัง กลับกลายเป็นเรื่องที่เสียเวลาที่จะมาพูดกันในเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะ ตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงบัดนี้ เค้าใช้เวลาทั้งหมดของเค้านั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนเนื้อเพลงที่อธิบายถึงตัวตนของตัวเอง ซึ่งเค้ายังคงจะทำอย่างนั้นต่อไป ท็อปกล่าวว่าเค้าเลือกรับแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเค้า "มองเห็นตัวเอง" ในบทบาทนี้ เค้ายังคงความเป็น ชายอายุ 24 ลงไปในบทของนักเรียนทหาร Oh jang bom ที่มีอายุเพียง 17 ได้อย่างไร เราจะมาพูดคุยกับท็อปทั้งในเรื่องการแสดง การแร๊พ และ ตัวตนของเค้า
================
Q: คุณรู้สึกยังไงบ้างที่วันนี้ได้มาให้สัมภาษณ์ในฐานะที่เป็นตัวเองไม่ใช่หนึ่งในสมาชิกของวงบิกแบง ??
T.O.P: ในวงบิกแบง มีสมาชิกหลายคนที่พูดเก่งครับ
ดังนั้นผมจึงไม่เคยที่จะต้องออกมาพูดจริงๆซักกะที แต่ตอนนี้ผมพูดเยอะขึ้นแล้วนะครับ
หากผมกลับไปเป็นสมาชิกวงบิกแบงอีกครั้ง พวกเค้าคงต้องให้ผมพูดเยอะแน่เลย ดังนั้นผมควรที่จะพูดน้อยๆนะวันนี้ ( หัวเราะ)
===================
"การถ่ายทำภาพยนตร์ ทำให้ผมมีอิสระมากขึ้น"
Q: ในฐานะนักแสดง งานนี้เป็นงานชิ้นที่สามของคุณแล้ว
ในตอนถ่ายทำ ยิ่งถ่ายมากคุณจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นหรือยิ่งถ่ายก็ยิ่งกดดันมากขึ้น ???
ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับการแสดง??
T.O.P: ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม ผมไม่เคยที่จะถูกกลืนไปกับสิ่งที่ทำได้ทันทีหรืออินกับมันทันที ผมมีความสุขเสมอเวลาทำงานแต่ผมก็มีเรื่องให้กังวลเสมอด้วยเช่นกัน ผมจะทำมันด้วยความระมัดระวังที่สุดและคิดอย่างระเอียดที่สุดด้วย ผมรู้สึกว่าที่ผมเป็นแบบนั้นเป็นเพราะ ผมมักจะมีบางสิ่งบางอย่างให้กลัวอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ ความกลัวที่ว่าดูเหมือนจะหายไปแล้วฮะ ซึ่งผมคิดว่ามันดีต่อผมนะ
Q: ก่อนที่ฉันจะมาสัมภาษณ์คุณฉันได้สัมภาษณ์ Cha Seung-Wonและ Kim Seung-Woo
พวกเค้าต่างเรียกคุณว่า " ซึงฮยอนของเรา" ( "Woo-ri Seung-hyun-ee" ) คุณท่าทางจะเป็นรุ่นน้องที่รุ่นพี่เอ็นดูมากๆ
T.O.P: ผมรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่และผู้กำกับมากๆครับ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม หากผมได้เจอคนที่มีศักดิ์เหนือกว่าหรือว่าพวกรุ่นพี่ มันจะเป็นเรื่องยากนิดหน่อยสำหรับผมนะครับ
ผมจะระมัดระวังมากและรักษามารยาทมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเค้าที่จะเข้าถึงตัวจริงของผม
แต่พวกรุ่นพี่ก็ยังเข้าหาผมก่อนเพื่อที่ว่าผมจะได้สนิทกับพวกเค้าเร็วขึ้น ทำตัวเป็นปกติ และได้ทำงานร่วมกับพวกเค้า
ในตอนที่ถ่ายทำ จะมีรุ่นพี่รุ่นน้อง และผู้กำกับ แต่พอเสร็จการถ่ายทำ เราจะสนิทกันพวกเค้าเหมือนเป็นพี่ชายที่สนิทของผมครับ
Q: ได้ยินมาว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงมีอิทธิพลในเรื่องการแสดงของคุณ แต่มันยังมีผลต่อชีวิตและความรู้สึกของคุณด้วย??
T.O.P: ผมรู้สึกอะไรมากมายจากการเฝ้าสังเกตพวกรุ่นพี่ฮะ ผมชอบหุ่นตุ๊กตาพลาสติก ซึ่งผมคิดว่าผมรู้สึกได้ถึงความมั่นคงในพวกมัน ผมคิดว่าวัสดุที่แข็งๆ หรือโครงสร้างสัดส่วนของหุ่นตุ๊กตาพลาสติกเหล่านี้ มันสมบูรณ์แบบ รูปแบบที่ไม่มีอะไรสามารถส่งผลกับมันได้ทำให้ผมสนใจมาก ผมเชื่อว่าความมั่นคงแบบนี้ เป็นสิ่งที่ผมได้เห็นจากพวกพี่ๆเหมือนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่มีการถ่ายทำ พวกเค้าจะโทรศัพท์กลับบ้านตลอด เมื่อเห็นแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกอะไรมากมาย ผมมาตระหนักได้ว่าในชีวิตผม ผมไม่มีรูปแบบความมั่นคงแบบนั้นอยู่เลย ผมจะคิดว่า " อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในวันพรุ่งนี้?? แล้วหากไม่มีวันพรุ่งนี้ละ?? " แต่นี่ก็ทำให้ผมรู้สึกอิสระมากขึ้น
Q: นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณเลือกรับที่จะแสดงในบท Oh jang bom ใช่ไม๊?? เพราะ jangbom เค้าเพิ่งจะอายุ 17 แต่เค้าต้องมอบชีวิตวัยหนุ่มของเค้าหมดไปกับสงคราม เค้าต้องเจอกับปัญหาที่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงและความไม่แน่นอนต่างๆ??
T.O.P: นั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดผมเข้ามาฮะ เพราะเค้าเป็นแค่เด็กอายุ 17 กับความไม่แน่นอนต่างๆ เพราะแบบนั้นผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็น Oh jang bom หรือผม เราต่างต้องการที่จะเป็นผู้ชายที่มีความมั่นคง ผมยังคิดด้วยว่า Oh jang bom มีบุคคลิกที่คล้ายๆกันกับบุคคลิกของผม ผมคิดว่าเราเหมือนกันมากโดยเฉพาะ วิธีที่เราคิดหรือแสดงออกเวลาที่เราอยู่คนเดียว
Q: ในตอนที่คุณแสดงเป็น vic ในละครทางช่อง KBS คุณได้จินตนาการบทบาทที่ได้รับจากคนคนนึงในภาพยนตร์ ด้วยวิธีนั้น คุณจินตนาการว่า วิค จะต้องเป็นอะไรที่เหนือจริงมากๆ เป็นตัวละครในจินตนาการ แต่ในตัวคุณ คุณมีพื้นฐานของตัวละครที่เป็นคนจริงๆ คุณ???
T.O.P: ผมพยายามที่จะโชว์ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมรู้สึกว่าเค้าไม่ใช่แค่บทบาทแต่ผมกำลังแสดงเป็นตัวเอง ผมพูดไม่ได้หรอกครับว่าผมโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ผมใช้เวลาในช่วงวัย 20 นี้เติบโตผ่านการทำงานมากมาย ผมเชื่อว่าผมเติบโตขึ้นทีละนิดๆ ผมอยากจะแสดงออกถึงการเติบโตดังกล่าวผ่านลงไปในบทบาทของ oh jang bom เค้าถูกบังคับให้มอบชีวิตในช่วงวัยรุ่นให้กับสงคราม ทั้งๆที่มีอายุเพียง 17 ปี ในฐานะ ร้อยโทหัวหน้ากองนักเรียนทหารเค้าถูกบังคับให้ต้องรับผิดชอบภาระอันยิ่งใหญ่ เค้าถูกบังคับให้ต้องโตและเป็นผู้ใหญ่ในเวลาอันสั้น ผมรู้สึกว่า ถ้าผมไม่เคยผ่านช่วงที่ต้องเติบโตมาแบบนี้ ผมคงจะกลัวที่จะรับบท oh jang bom นี้เหมือนกัน
==================
"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมเก็บตัวมาก"
Q: เป็นยังไงบ้างกับการที่ต้องแสดงออกถึงอารมณ์ของเด็กอายุ 17 ??
T.O.P: ผมคิดว่าบางส่วนในตัวผมยังคงเป็นเด็กอยู่นะครับ หนึ่งในเหตุผลที่ผมชอบพวกหุ่นตุ๊กตาเป็นเพราะว่าผมต้องการที่จะคงความเด็กเอาไว้ และเพราะ บุคลลิกของ oh jang bom แก่นแท้แล้วเค้า บริสุทธิ์และมีมนุษยธรรมมาก
ดังนั้นผมจึงต้องการที่จะตามหาตัวตนของตัวเองในด้านที่แตกต่างออกไปด้านที่ผมไม่เคยแสดงออกมาก่อนออกมาด้วย
Q: ด้านที่แตกต่างไปเหรอ??
T.O.P: จนถึงตอนนี้ ผมคิดว่าผม คนที่ผมแสดงออกมาในตอนนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากตัวตนของตัวจริงๆของผมอย่างสิ้นเชิงครับผมทำให้มันดูเจิดจรัสมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผมโกหกตัวเองหรือว่าแสดงออกด้านที่ไม่จริงของตัวเองออกมานะครับ ผมเป็นคนที่ทำงานเพลง และผมมักจะต้องแสดงออกถึงตัวตนของตัวเองต่อสาธารณะ แต่ยิ่งผมเข้าใกล้สาธาณชนมากขึ้นๆๆๆ ผมกังวลว่าเค้าจะเกิดเบื่อกับภาพนั้น มันมีจุดนึงที่พวกนักดนตรีต้องไปออกรายการทีวีบ่อยมาก ดังนั้นผมจึงเก็บเอาความกังวลนี้ไว้กับตัวและในเวลานั้นผมเริ่มที่จะเก็บตัวมากๆ ผมอยากที่จะรักษาระยะห่างจากตัวผมกับผู้คน ในตอนนั้น ผมจบลงที่การโชว์ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา
Q: ในการให้สัมภาษณ์ ครั้งนึง คุณกล่าวว่า เพื่อที่จะสร้างบุคคลิกขึ้นมา คุณจะถามคำถามตัวเอง
คำถามอะไรที่คุณถามตัวเองในครั้งนี้??
T.O.P: จริงๆมันมักจะจบลงที่มีคำถามให้ถามมากมายเลยครับ ดังนั้นผมก็เหนื่อยที่จะมาตามลบมันด้วย เมื่อก่อน เวลาที่ผมจะเริ่มแสดง ผมจะคิดว่า "นี่มันถูกรึยังเนี้ย??" และผมก็จะหลงไปกับความคิดที่เข้ามามากมาย ครั้งนี้ ผมโยนความคิดซับซ้อนทุกอย่างในฉากออกไป และผมก็แสดงเหมือนกับที่ผมแสดงบนเวทีในฐานะนักร้อง ผมไม่รู้วิธีการสร้างตัวละครออกมาเหมือนที่พวกรุ่นพี่ทำกัน ดังนั้นผมพยายามที่จะสร้างบุคคลิกออกมาจากประสบการณ์ที่ผมได้รับมา กว่า 5 ปีที่อยู่บนเวที ผมคงทำไม่สำเร็จหากไม่ได้ประสบการณ์จากตรงนี้
Q:ในหนังสือบทความของบิกแบง คุณพูดว่าเวลาถ่ายทำภาพยนตร์ คุณไม่ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนการแสดงเพราะคุณกลัวว่าการแสดงของคุณจะกลายเป็นมาตรฐานเหมือนๆกับคนอื่นๆ ตอนนี้คุณคิดยังไง??
T.O.P: แนวคิดในการแสดงอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนนะครับ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่านี่ตรงกับผม แทนที่จะไปเรียนการแสดงและทำมันออกมาในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง ผมต้องการที่จะแสดงออกมาจากประสบการณ์ที่ได้รับมาจากในอดีตมากกว่า และเก็บเอาความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในตอนที่แสดง เช่น เสียงร้องแร๊พที่ผมร้องออกมานั้นเป็นผลมาจากการพิจารณามาอย่างดีแล้วกว่า 10 ปี มันไม่ใช่เสียงจริงๆของผม ผมตั้งใจทำมันออกมาแบบนั้น และนี่เป็นเหตุผลที่ ท่านประธาน (วายจี) ก็ยังบอกผมเลยว่าเสียงร้องแร๊พของผมเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากคนอื่น ดังนั้น นี่ก็เหมือนกันผมอยากที่จะสร้างวิธีการในการแสดงของตัวเองออกมา หลังจากนั้น บางทีผมอาจจะสามารถไปเรียนรู้ในเรื่องของเทคนิคเพิ่ม
Q: การที่คุณต้องหล่อหลอมตัวเองให้เข้ากับบทเพื่อการแสดง มันไม่ได้สร้างความยากลำบากให้แก่คุณในตอนที่คุณยังต้องทำงานตามตารางที่แสนจะยุ่งกับบิกแบงที่ญี่ปุ่นบ้างหรือ??
T.O.P: ในกองถ่าย ผมจะฟังเพลงเพื่อจะซึบซับอารมณ์ของตัวเองฮะ ผมไม่รู้จริงๆว่าจะเข้าถึงบทได้อย่างรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มานานได้ยังไง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะตั้งสมาธิและอินอยู่กับดนตรีแทนครับ
สัมภาษณ์ bigbangจาก TV Guide
สัมภาษณ์ บิกแบงจาก TV Guide
"จุดมุ่งหมายของเราคือ โตเกียวโดม"
-Dragon: ละครเกาหลีเรื่อง ไอริช ตอนนี้กำลังออกอากาศทาง ช่อง TBS ของญี่ปุ่นและเพลงใหม่ของเรา tell me goodbye ก็ถูกใช้ให้เป็นเพลงประกอบละครเรื่องนี้ด้วย นายว่าเพลงนี้เป็นไงบ้าง??
SOL:นอกจากจังหวะที่เหมือนละครแล้ว เนื้อเพลงเพลงนี้ก็มีเอกลักษณ์มาก
แทนที่จะพูดว่า " ได้โปรดอย่าจากฉันไปเลย" กลับพูดคำว่า " บอกซาโยนาระกับฉันเถิด"
T.O.P: เพลงนี้ได้สร้างบรรยากาศการเลิกราที่โศกเศร้าขึ้นมา
มันทำให้ผมคิดถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า "รัก" ในระหว่างการอัดเสียง
D-Lite: ผมได้ดูละครไอริช จบทั้งเรื่องแล้วตอนที่ร้องเพลงนี้ ผมมักจะคิดถึงแต่ความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อเรื่องกับเพลงของเรา
และเป็นเพราะเราไม่ได้ร้องเพลง R&B มานาน ผมจึงมีความสุขในการอัดเสียงมากเลยครับ
V.I:เป็นเพราะบิกแบงมีเพลงที่เอาไว้เต้นเยอะ ส่วนตัวของผมแล้วผมชอบเพลงที่มีท่อนร้องมากกว่าถ้าจะเทียบกับการแร๊พ ส่วนในเรื่องของเนื้อเพลงผมยังเป็นเด็กอยู่เลยฮะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
GD: ผมคิดว่าเพลงเพราะๆเพลงนี้ กำลังพยายามที่จะแสดงให้คุณผู้ฟังเห็นถึงความเท่และภาพลักษณ์ที่ทันสมัย
หวังว่ามันจะช่วยเยียวยาบาดแผลของคนที่อกหักเพราะความรักได้นะฮะ
SOL & DL: ท่อนโปรดของพวกเราในเพลงคือ ท่อนที่ทำนองจะหยุดในช่วงคอรัส
ท่อนที่พวกเราร้อง 'Tell me goodbye oh~~'!
GD: ผมชอบท่อนที่จู่ VI ก็ขึ้นเสียงสูงแบบไม่ได้มีการเตี๊ยมกันไว้ก่อนเพราะมันน่าสนใจนะครับ
T.O.P: ผมคิดว่าผมเห็นด้วยมากๆกับเนื้อหาในท่อนแร๊พของตัวเอง เนื้อเพลงจะเกี่ยวกับการที่ต้องอดทนกับความเศร้าโศก ผมก็เป็นคนแบบนั้นเหมือนกันครับ ผมคิดว่าจะดีกว่าถ้าผมจะอยู่คนเดียวและเลียแผลเพียงลำพัง
GD:สำหรับผม ผมจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ผมรักจากไป มันเป็นความรับผิดชอบของผมที่จะปกป้องแฟนของผมเอง
DL: ยังไงก็ตามเราคิดกันบ้างไม๊??ว่าการถ่ายทำ PV ของเราเป็นงานที่สาหัสเอาการ??
SOL: เราพบกับปัญหาในเรื่องของสถานที่ถ่ายทำ ทำให้แทนที่เราจะใช้เวลา 2 วันในการถ่ายทำตามที่ตั้งเอาไว้เรากลับต้องใช้เวลา 3 วันในการถ่าย PV นี้ นี่เป็นครั้งแรกสำหรับพวกเราที่ใช้เวลาเยอะขนาดนี้ในการถ่ายทำ นอกจากนี้ ทั้งๆที่เข้าเดือนเมษายนแล้ว แต่อุณหภูมิก็ต่ำกว่าปกติ มันจะมีตอนนึงที่จะมีทรายปลิวในขณะที่เรายืนอยู่ในทะเลทราย และเป็นสุสานด้วย ฉากเหล่านั้นไม่ได้ถูกสร้างจากเทคนิคพิเศษนะครับ แต่นี่แหละมาจากพลังของธรรมชาติล้วนๆ
V.I: สถานที่ถ่ายทำคือเกาะที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโซล เรียกว่าเกาะ Chebudo ฮะอาจจะเป็นเพราะเกาะนี้มันอยู่ใกล้ทะเล ทำให้อากาศเย็นกว่าที่โซล ใน PV เราต่างได้รับมอบหมายบทบาทให้ต้องแสดง ผมอินมากๆกับบทนักสืบ ของผม
DL: จริงๆแล้วการถ่ายทำนั้นถ่ายแยกของแต่ละคนๆไปฮะ
GD: นั่นเป็นเพราะเราต่างมีเรืองที่แตกต่างกันไปที่ต้องทำ เราจะมีโอกาสได้เจอกันก็ตอนซ้อมเท่านั้น สำหรับครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราแยกกันถ่าย ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่เราสามารถทำงานนี้ผ่านลุล่วงไปได้อย่างดี
DL: เพราะขอบเขตการทำงานของพวกเราปกติแล้วจะอยู่ที่เกาหลี เราจึงรู้สึกขอบคุณแฟนๆชาวญี่ปุ่นมากๆที่มาร่วมสนับสนุนเราในการปล่อยตัวซิงเกิลใหม่นี้
V.I: ใช่ครับ และมันทำให้เราสามารถจัดคอนเสริต์ที่ Budokan ที่เลื่องลือได้สำเร็จ ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราสามารถได้ยินคนพูดกันว่า " นั่นบิกแบงนี่นา" จุดมุ่งหมายของเราในตอนนี้คือ เราจะสามารถจัดคอนเสริต์ที่ โตเกียวโดมได้
T.O.P:จนถึงตอนนี้ การได้มาที่ญี่ปุ่นของผมแต่ละครั้งมักจะเป็นทริปสั้นๆ ครับ แม้ว่าคุณจะบอกว่า เราเริ่มที่จะมีชื่อเสียงบ้างแล้วที่นี่ แต่ผมยังไม่เคยได้สัมผัสเรื่องนี้กับตัวเองเลย
GD: ถ้ามีโอกาส ผมหวังว่าเราจะได้อยู่ที่ญี่ปุ่นนี้เป็นช่วงยาวๆและเราจะได้ทำกิจกรรมแบบถาวรที่นี่ได้ ในขณะเดียวกันถ้าทำได้จริงๆผมก็หวังว่าเราจะสามารถย่นระยะห่างระหว่างเรากับแฟนๆที่ญี่ปุ่นได้ อีกอย่าง มันจะทำให้ผมและท็อปที่ยังมีปัญหาในเรื่องภาษาญี่ปุ่น ได้ตั้งใจเรียนภาษากันอย่างจริงจัง ด้วยฮะ
===============
"จุดมุ่งหมายของเราคือ โตเกียวโดม"
-Dragon: ละครเกาหลีเรื่อง ไอริช ตอนนี้กำลังออกอากาศทาง ช่อง TBS ของญี่ปุ่นและเพลงใหม่ของเรา tell me goodbye ก็ถูกใช้ให้เป็นเพลงประกอบละครเรื่องนี้ด้วย นายว่าเพลงนี้เป็นไงบ้าง??
SOL:นอกจากจังหวะที่เหมือนละครแล้ว เนื้อเพลงเพลงนี้ก็มีเอกลักษณ์มาก
แทนที่จะพูดว่า " ได้โปรดอย่าจากฉันไปเลย" กลับพูดคำว่า " บอกซาโยนาระกับฉันเถิด"
T.O.P: เพลงนี้ได้สร้างบรรยากาศการเลิกราที่โศกเศร้าขึ้นมา
มันทำให้ผมคิดถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า "รัก" ในระหว่างการอัดเสียง
D-Lite: ผมได้ดูละครไอริช จบทั้งเรื่องแล้วตอนที่ร้องเพลงนี้ ผมมักจะคิดถึงแต่ความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อเรื่องกับเพลงของเรา
และเป็นเพราะเราไม่ได้ร้องเพลง R&B มานาน ผมจึงมีความสุขในการอัดเสียงมากเลยครับ
V.I:เป็นเพราะบิกแบงมีเพลงที่เอาไว้เต้นเยอะ ส่วนตัวของผมแล้วผมชอบเพลงที่มีท่อนร้องมากกว่าถ้าจะเทียบกับการแร๊พ ส่วนในเรื่องของเนื้อเพลงผมยังเป็นเด็กอยู่เลยฮะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
GD: ผมคิดว่าเพลงเพราะๆเพลงนี้ กำลังพยายามที่จะแสดงให้คุณผู้ฟังเห็นถึงความเท่และภาพลักษณ์ที่ทันสมัย
หวังว่ามันจะช่วยเยียวยาบาดแผลของคนที่อกหักเพราะความรักได้นะฮะ
SOL & DL: ท่อนโปรดของพวกเราในเพลงคือ ท่อนที่ทำนองจะหยุดในช่วงคอรัส
ท่อนที่พวกเราร้อง 'Tell me goodbye oh~~'!
GD: ผมชอบท่อนที่จู่ VI ก็ขึ้นเสียงสูงแบบไม่ได้มีการเตี๊ยมกันไว้ก่อนเพราะมันน่าสนใจนะครับ
T.O.P: ผมคิดว่าผมเห็นด้วยมากๆกับเนื้อหาในท่อนแร๊พของตัวเอง เนื้อเพลงจะเกี่ยวกับการที่ต้องอดทนกับความเศร้าโศก ผมก็เป็นคนแบบนั้นเหมือนกันครับ ผมคิดว่าจะดีกว่าถ้าผมจะอยู่คนเดียวและเลียแผลเพียงลำพัง
GD:สำหรับผม ผมจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ผมรักจากไป มันเป็นความรับผิดชอบของผมที่จะปกป้องแฟนของผมเอง
DL: ยังไงก็ตามเราคิดกันบ้างไม๊??ว่าการถ่ายทำ PV ของเราเป็นงานที่สาหัสเอาการ??
SOL: เราพบกับปัญหาในเรื่องของสถานที่ถ่ายทำ ทำให้แทนที่เราจะใช้เวลา 2 วันในการถ่ายทำตามที่ตั้งเอาไว้เรากลับต้องใช้เวลา 3 วันในการถ่าย PV นี้ นี่เป็นครั้งแรกสำหรับพวกเราที่ใช้เวลาเยอะขนาดนี้ในการถ่ายทำ นอกจากนี้ ทั้งๆที่เข้าเดือนเมษายนแล้ว แต่อุณหภูมิก็ต่ำกว่าปกติ มันจะมีตอนนึงที่จะมีทรายปลิวในขณะที่เรายืนอยู่ในทะเลทราย และเป็นสุสานด้วย ฉากเหล่านั้นไม่ได้ถูกสร้างจากเทคนิคพิเศษนะครับ แต่นี่แหละมาจากพลังของธรรมชาติล้วนๆ
V.I: สถานที่ถ่ายทำคือเกาะที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโซล เรียกว่าเกาะ Chebudo ฮะอาจจะเป็นเพราะเกาะนี้มันอยู่ใกล้ทะเล ทำให้อากาศเย็นกว่าที่โซล ใน PV เราต่างได้รับมอบหมายบทบาทให้ต้องแสดง ผมอินมากๆกับบทนักสืบ ของผม
DL: จริงๆแล้วการถ่ายทำนั้นถ่ายแยกของแต่ละคนๆไปฮะ
GD: นั่นเป็นเพราะเราต่างมีเรืองที่แตกต่างกันไปที่ต้องทำ เราจะมีโอกาสได้เจอกันก็ตอนซ้อมเท่านั้น สำหรับครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราแยกกันถ่าย ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่เราสามารถทำงานนี้ผ่านลุล่วงไปได้อย่างดี
DL: เพราะขอบเขตการทำงานของพวกเราปกติแล้วจะอยู่ที่เกาหลี เราจึงรู้สึกขอบคุณแฟนๆชาวญี่ปุ่นมากๆที่มาร่วมสนับสนุนเราในการปล่อยตัวซิงเกิลใหม่นี้
V.I: ใช่ครับ และมันทำให้เราสามารถจัดคอนเสริต์ที่ Budokan ที่เลื่องลือได้สำเร็จ ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราสามารถได้ยินคนพูดกันว่า " นั่นบิกแบงนี่นา" จุดมุ่งหมายของเราในตอนนี้คือ เราจะสามารถจัดคอนเสริต์ที่ โตเกียวโดมได้
T.O.P:จนถึงตอนนี้ การได้มาที่ญี่ปุ่นของผมแต่ละครั้งมักจะเป็นทริปสั้นๆ ครับ แม้ว่าคุณจะบอกว่า เราเริ่มที่จะมีชื่อเสียงบ้างแล้วที่นี่ แต่ผมยังไม่เคยได้สัมผัสเรื่องนี้กับตัวเองเลย
GD: ถ้ามีโอกาส ผมหวังว่าเราจะได้อยู่ที่ญี่ปุ่นนี้เป็นช่วงยาวๆและเราจะได้ทำกิจกรรมแบบถาวรที่นี่ได้ ในขณะเดียวกันถ้าทำได้จริงๆผมก็หวังว่าเราจะสามารถย่นระยะห่างระหว่างเรากับแฟนๆที่ญี่ปุ่นได้ อีกอย่าง มันจะทำให้ผมและท็อปที่ยังมีปัญหาในเรื่องภาษาญี่ปุ่น ได้ตั้งใจเรียนภาษากันอย่างจริงจัง ด้วยฮะ
===============
Big Show 2010 Live Album Release on June 23
T R A C K L I S T:
[LIVE CD]
01. Lies (Hitchhiker Remix)
02. GARA GARA GO
03. Koe wo kikasete
04. Hallelujah
05. Strong Baby (Hitchhiker Remix)
06. Where U At
07. How Gee
08. STYLISH – THE FILA (Perry Remix)
09. Cotton Candy
10. A Fool’s Only Tears & I Don’t Understand
11. Foolish Love & Oh Ma Baby
12. Remember
13. Stay
14. Haru Haru
15. Heartbreaker
16. Heaven & Fool
17. Sunset Glow
[BONUS CD]
01. TURN IT UP – TOP Solo
02. Hallelujah
03. STYLISH – THE FILA (Perry Remix)
04. Lie (Hitchhiker Remix)
G-Dragon vs. TOP Fashion SHOWDOWN!
การกลับมาอีกครั้งของ BIGBANG G-Dragon, TOP, Taeyang, Daesung, Seungri
8:00PM 11 มิถุนายน Seoul Olympic Park สวนแห่งสันติภาพ BIGBANG เข้าร่วมพิธีเปิดและร่วมเชียร์
ในงาน 2010 South Africa World Cup ภายใน HYUNDAI Fan Park
แฟชั่นนิสต้า G-Dragon และ TOP เสื้อผ้าทั้งชุดของพวกเขาได้ถูกจับตามองและสนใจถ่ายรูปจากแฟนอย่างมาก
ครั้งนี้แฟชั่นนิสต้าG-Dragon ที่มีแฟชั่นการแต่งตัวเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา แต่เหมือนว่าครั้งนี้
เขามาภายใต้เสื้อผ้าที่มีแนวแฟชั่นสดใสและเรียบง่าย เขาใส่เสื้อยืดสีแดงเข้ากับ Jacket ผ้าฝ้ายหยาบสีน้ำเงินเข้มและกางเกงยีนส์
สีแดงกับสีน้ำเงินเข้มทั้งชุดเข้ากับขอบของเเว่นตากันแดดสีฟ้าซึ่งทำให้นึกถึงสีของ Taeguk [ธงชาติเกาหลีใต้]
โดยปกติ G-Dragon จะต้องมี accessories มากมายแต่งานนี้ เขาใส่แค่แหวนเงิน สองวงและกำไลข้อมือแบบธรรมดาสีเงิน
ดูค่อนข้างสบาย ง่ายๆในการปรากฏของเขา
ตอนนี้เขาเป็นนักแสดง TOP แต่งตัวมีความรู้สึกมีเสน่ห์ขึ้น เขามาในแนวน่ารัก
ใส่เสื้อยืดสีแดง แจคเกตสีดำ(แบบพวกขี่มอเตอร์ไซส์ Bigbite) มีการตกแต่งรายละเอียดด้วย zip
กางเกง denim สีเข้ม ยังมีหมวกสีแดง horn-shaped ให้ความรู้สึกถึงแฟชั่นที่ไม่เหมือนใครของเขา
หมวกสีแดงกับ horn-shaped ออกแบบลวดลายมาน่าสนใจมาก
เหมือนกับใช้กั้นแดด แต่เปลี่ยนเป็นสีแดงเงา ซึ่งแฟชั่นทั้งหมดบนตัว TOP จะเป็น style "American Fashion"
20 มิถุนายน 2553
10 มิถุนายน 2553
[TRAN] Taeyang EP: 10 "แทนที่จะเป็นที่สุด ผมขอเลือกเป็นนักร้องที่มีความหมายดีกว่าครับ"
ด้วยเสน่ห์ที่ราบรื่น และหัวใจที่ภัคดีต่อการแสดงบนเวที นักร้องที่วางใจได้ แทยัง ความฝันของเค้าคืออะไรกัน
" ผมไม่รู้จริงๆว่าฝันนี้เป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แต่ผมอยากที่จะยืนอยู่บนเวทีไปนานๆอย่างที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
ผมจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ตลอดไป
มันอาจจะเป็นความฝันที่ง่ายๆแต่ สายตาของเค้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจใจฐานะที่เป็นนักร้อง
เมื่อเค้ามาถึงจุดที่มองไปแต่ก้าวข้างหน้าแบบนี้ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เค้าจะมองรอบๆตัวของเค้าบ้าง
"ก่อนหน้านี้ผมต้องการที่จะเป็นคนที่ใครๆก็จะต้องจดจำได้ ผมต้องการที่จะไปยืนอยู่บนเวทีที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก
และได้ยินคนเค้าพูดกันเกี่ยวกับผมว่า" คนคนนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ" ผมยังคงต้องการที่จะเป็นแบบนั้นนะครับ
แต่ตอนนี้ผมเริ่มที่จะคิดว่า ผมแค่ทุ่มเทไปอย่างเต็มที่ก็แล้วกัน
ถ้าผมทำแบบนั้น ผมก็จะเป็นคนที่ดีที่สุดของใครซักคนละน่า"
เค้ายังเล่าให้ฟังว่า เค้าหวังว่าการแสดงที่เค้าพยายามอย่างเต็มที่ จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ
ดังนั้นเค้ามักจะคิดถึงไอเดียในการทำให้การแสดงแฝงไปด้วยความหมายดีๆ อยู่เสมอ
"ผมต้องการที่จะทำให้การแสดงนั้นๆมีความหมายดีๆ แน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่
จะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อผมดีกว่านี้และมีอิทธิพลมากกว่านี้
แต่ถ้าหากว่าเป็นการทำเพื่อเด็กๆที่กำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากแล้วละก็
ผมต้องการที่จะทำให้โชว์นั้นออกมามีความหมายในแนวทางนี้ "
เหมือนกับ ชื่อของเค้า คือ แทยัง ที่แปลว่าพระอาทิตย์
แทยังกำลังทำงานเพื่อมุ่งไปสู่การเป็นนักร้องที่สามารถจะส่องแสงสว่างให้กับโลกใบนี้
แทนที่จะเป็นดาวที่เจิดจรัส แทยังกำลังค่อยๆก้าวไปทีละก้าวเพื่อจะเป็นศิลปิน
ที่ให้ทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่จะช่วยให้ทุกสิ่งเติบโตและดีขึ้น
"ปีนี้ผมต้องการที่จะเอาความโลภและสิ่งที่ครอบงำจิตใจหลบออกไปก่อน
ส่วนในเรื่องการทำงานแบบไม่ยอมผ่อนผัน แทนที่ผมจะลุยทำเพื่อเพลงเดียวในอัลบั้มเดี่ยวของผม
ผมคิดว่าผมจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อโชว์เพลงต่างๆให้มากขึ้น"
แทยังนำเอายิ้มที่สดใสมาสู่ใบหน้าของคนที่กำลังมองดูเค้าได้เสมอ ด้วยวิธีที่เค้าใช้ในการดำเนินชีวิต
ทั้งพยายามและตรวจตราอย่างไม่มีวันจบ ความหลงใหลที่เค้ามีให้กับดนตรี
และ เค้าไม่ลืมที่จะใส่หัวใจลงไปในเรื่องทุกเรื่อง เสมอ
06 มิถุนายน 2553
กลุ่มไอดอลที่มีพรสวรรค์ ' BIGBANG!
เมื่อเอ่ยถึง วงบอยแบนชื่อดังอย่าง BIGBANG แล้วละก็ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในใจคือไรกันนะ สิ่งนั้นก็คือ เทรน ถูกต้องแล้ว ทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับ BIGBANG มันก็คือ เทรน ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ การแต่งตัว แว่นตา ทรงผม การเต้น และ แนวเพลง ทุกสิ่งอย่างได้ถูกคัดสรรมาจากตัวพวกเค้าเอง และมันช่าง น่าหลงใหล ยิ่งนัก 'กลุ่มไอดอลที่มีพรสวรรค์ ' BIGBANG!
G-Dragon - Not your typical idol leader!
การเปิดตัวที่อยู่ภายใต้ของคำว่า 'กลุ่มไอดอลที่มีพรสวรรค์ ' BIGBANG ได้ประสบปัญหาจากการถูกวิภาพวิจารณ์ เป็นอย่างหนัก นักร้อง K-pop อาจมี คำว่า ไอดอล ที่เป็นอคติอย่างมากสำหรับคำนี้ ดังนั้น นักร้องที่เป็นไอดอล กรุ๊ป จะอยู่ภายใต้ความกดดันเป็นอย่างมาก โดยในส่วนมากแล้ว วงไอดอล สามรถ เต้น ได้ดี และ น่าตาก็ต้องดีอีกเช่นกัน การรู้จักดนตรีนั้น มันไม่ได้สำคัญเลย
- แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาได้เจอกับทุกๆคน และมาพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่น แต่หัวหน้าวง อย่าง จีดราก้อน ได้กล่าวไว้ว่า " ผมไม่ใช้คนน่าตาดี และ ผมก็เกิดมาพร้อมกับ ทัศนคติ ที่แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้น ผมไม่สามารถเป็นในสิ่งที่ผู้คนอยากให้ผมเป็นได้ " อย่างไรก็ตามแต่ การเปรียบเทียบกับการมีน่าตาดี กับ ความสามารถเฉพาะตัวของ จีดราก้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของเพลง หรือ สไตล์การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ และ นำแฟชั้น อย่างเขา ดั้งนั้น สิ่งเหล่านั้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด สำหรับ บิ๊กแบง ที่จะเป็นผู้นำ และ โลดแล่น อยู่วงการเพลงที่ทำให้พวกเขานั้นโดดเด่น
BB : All 5 of them have to maintain their individuality!
ถึงแม้ว่า พวกเขาทั้งห้าคนจะมีบุคลิก ที่แตกต่างกัน แต่พวกเขานั้นก็สามารถไปด้วยกันได้ดีเพราะคำว่าบทเพลง แทยัง คิดว่า จีดราก้อนนั้น บ้าไปแล้ว เพราะสามารถทำตัวหมกหมุ่นกับสองสิ่งไปด้วยกัน ทั้งทำงาน และ เล่น ไปด้วยด้าย ส่วน จีดราก้อน คิดว่า ท๊อป นั้น 'แมน' ท๊อป คิดว่า แดชอง นั้น เป็นคนที่คิดบวก และ มีรอยยิ้มที่มีเสห์นสุดๆ แดชอง คิดว่า แทยัง เปรียบเหมือนกับพระอาทิตอันอบอุ่น ที่นำความอบอุ่นมาให้คนอื่นๆอยู่เสมอๆ ในขณะที่ น้องเล็กอย่าง ซึงริ ผู้ที่มีความปราถณาอันแรงกล้ากับความฝันของตัวเค้าเอง " สมาชิกทั้งห้านั้น แต่ละคนจะมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ และพวกเราก็จะไม่เปลื่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น เพราะว่า ห้า บุคลิกที่แตกต่างนั้น ทำให้พวกเราคือ BIGBANG! "
BB : To produce more music to touch the hearts of people!
วงไอดอลที่ถูกจับตามองมาตั้งแต่การเปิดตัวในวันแรก สี่ปีมาแล้วที่ บิ๊กแบง กลายมาเป็นผู้นำในเรื่อง ของนักร้องวงบอยแบนหน้าใหม่ พวกเขาไม่ได้มีแค่เพียงแต่จำนวนแฟนที่มากมาย ที่อยู่ในช่วงของวัยรุ่น แต่พวกเขามีหลายหลายรุ่นที่เป็นแฟนของพวกเขา แล้วดังนั้น อะไรคือความฝันของ บิ๊กแบง ในอนาคต " สิ่งที่มากกว่าการเติบโต และ การเต้นที่ดูแข๊งแรงในความเป็นบอยแบน บิ๊กแบง อยากให้ทุกคนสัมผัสกับบทเพลง อย่างลึกซึ้งมากกว่านี้ พวกเรามี สมาชิกที่ไปเป็นนักแสดง และ นักศึกษา ดังนั้น พวกเราหวังว่าจะสามารถทำงานอย่างหนักไปพร้อมกับสิ่งนั้นได้ และ หวังว่าอัลบัม ของพวกเราจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และ แสดงให้เห็นถึงโฉมใหม่ของ บิ๊กแบง พร้อมกับการพิชิตจักรวาล ฉะนั้น ทุกคนสามารถคาดหวัง ความแปลกใหม่ของ บิ๊กแบง ในอนาคตได้ครับ "
photo A : What's confiscated ? acting
อะไรคือสิ่งที่ยึดติด - การแสดง
เหตุผล : ผมยังไม่สามารถเป็นนักแสดงที่ดีได้ดั่งนักแสดงมืออาชีพ แต่ผมจะตั้งใจทำให้มันดีที่สุดครับ
photo B : What's confiscated ? Doraemon
อะไรคือสิ่งที่ยึดติด - โดราเอมอน
เหตุผล : "โดราเอมอน" คือ ชื่อเล่นของผม ผมรักโดราเอมอนที่สุดเลยคร๊าบบ
photo C : What's confiscated ? sleep
อะไรคือสิ่งที่ยึดติด - การนอนหลับ
เหตุผล : การนอนหลับพักผ่อนเป็นสิ่งที่สำคัญ ผมต้องการนอนมากกว่า8ชั้วโมงทุกๆวันครับ
photo D : What's confiscated ? ID
อะไรคือสิ่งที่ยึดติด - บัตรประจำตัว
เหตุผล : รูปบัตรประจำตัวใบนั้น กับคำพูดที่ทุกคนกล่าวว่า " มีความเป็นชาย สุดๆ"
photo E : What's confiscated ? cuteness
อะไรคือสิ่งที่ยึดติด - ความน่ารัก
เหตุผล : BIGBANG สามารถทำได้ทั้ง หล่อ และ น่ารัก (55+ กล้าเนอะ)
photo F : What's confiscated ? cap
อะไรคือสิ่งที่ยึดติด - หมวก
เหตุผล : การใส่หมวกแบบเอียงๆ นั้นเละ สไตล์ของแทยัง
photo G : What's confiscated - college student
อะไรคือสิ่งที่ยึดติด - การเป็นนักศึกษา
เหตุผล : มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก กับ การเป็นนักศึกษา ผมมี Yuri วง SNSD เป็นเพื่อนในชั้นเรียนด้วยครับ
photo H : What's confiscated ? Gaho
อะไรคือสิ่งที่ยึดติด - กาโฮ้
เหตุผล : ช่วงเวลาที่วิเศษสุด กับ กาโฮ้ ~ Happy!
Tae Yang : 1" ผมระงับความเหงา โดยการฟังวิทยุครับ "
นักร้องที่มีลักษณะการพูดคุยที่สุขุม ทัศนะคติที่เรียบง่ายและอ่อนน้อมถ่อมตัว
และเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และน่าหลงใหล ผมได้พบกับแทยัง (อายุ 23 ปี ชื่อจริง ทงยองเบ)
หนึ่งในสมาชิกคนหนึ่งของบิ้กแบง ผู้ที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนแม้พวกเขาจะได้เจอแทยังแค่แว๊บเดียว
แทยังผู้ที่มีแววตายิ้มและเขินอายที่ติดตาตรึงใจ แทยังตื่นเต้นมากที่จะได้ออกอัลบั้มโซโล่เต็มอัลบั้มแรก
และเขาก็ได้แสดงความน่าดึงดูดของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี ในการเปิดตัวโซโล่เดี่ยวนั้นด้วย
แต่นั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นสำหรับอัลบั้มที่กำลังจะออกต่อจากนี้ไปเท่านั้น
แทยังบอกว่า เขาค่อนข้างกดดันเมื่อปีที่แล้ว เพราะเขาจะต้องแสดงสิ่งใหม่ ๆ
ให้ทุกคนเห็นในโอกาสที่เขารอคอยมาตลอดในปีนี้
ผมเคยได้ยินมาว่า มีเด็กที่ฟังเพลงแก้เหงาตอนที่เขาเด็ก ๆ
และในที่สุดเขาก็โตขึ้นมาเป็นนักร้องที่สร้างความมีชีวิตชีวาให้คนมากมาย
แม้ว่าเขาจะมีความวิตกกังวลมาตลอด แต่เขาก็แชร์ความรู้สึกนั้นไปพร้อมกันความฝันของเขา
"ผมเป็นเด็กขี้แงตอนเด็ก ๆ ครับ ผมจะร้องไห้ตอนที่ต้องไปโรงเรียนอนุบาลตอนเช้า
ผมร้องไห้เพราะคิดว่า ถ้าผมกลับบ้านมาจากโรงเรียนแล้วไม่เจอแม่ล่ะ
ผมเป็นเด็กขี้แงจริง ๆ นะ ผมร้องไห้วันละสามถึงสี่หนต่อวันเลยล่ะครับ ..."”
แทยังที่ขี้แงและใจดีชอบเสียงเพลงเอามาก ๆ พี่ชายที่อายุมากกว่า 5 ปีของเขา
ก็ชอบเสียงเพลงเหมือนกัน ดังนั้นแทยังเลยมีโอกาสที่จะได้ฟังเพลงแนวต่าง ๆ มากมายเลยในวัยเด็ก
"ผมได้ฟังเพลงหลายแนวเลยครับ โดยเฉพาะเพลงป๊อบและคลาสสิค
ผมชอบประวัติของนักดนตรีหลายคนเลยครับ เช่น โมสาร์ท ชูเบิร์ต บีโทเฟ่น
ผมจำประวัติของพวกเขาได้หมดเลยล่ะครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้อยู่เลยครับ
ถึงจะลืมไปบ้างแล้ว แต่ผมก็เคยเรียนเปียโนนะครับ เพราะว่าผมชอบเสียงเพลงนั่นเองครับ"
มีหลายช่วงที่เขารู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว ๆๆๆๆ เขาก็เลยเริ่มฟังเพลงอย่างจริงจัง
ในช่วงที่เขาอยู่เกรด 4 (ป.4) IMF เข้ามาเหี่ยวข้องกับครอบครัวเขา
เพราะบริษัทของพ่อแทยังล้มละลายและเขาต้องย้ายไปอยู่บ้านญาติ
แทยังต้องอยู่แยกจากพ่อแม่ของเขาทั้งที่ยังเด็กมาก เขามีวิทยุและเสียงเพลงเป็นเพื่อน
เพราะเขาไม่สามารถซื้อแผ่นเพลงที่เขาอยากฟังทุกอัน ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยในกระเป๋าได้
โลกของวิทยุเป็นที่ ๆ อ้าแขนต้อนรับเขาเสมอ ( โฮ โฮ วายบี T T )
"ผมฟังวิทยุบ่อยมากครับเวลาที่แยกจากครอบครัวของผม มันเป็นช่วงที่โดดเดี่ยว
และยุ่งยากมากสำหรับผมครับ แต่ก็พอทนได้ครับ เพราะผมได้ฟังวิทยุแก้เหงา"
แทยังถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในช่วงนั้น เขาหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้
การที่ต้องมองบ้านของตัวเองหายวับไปกับตา ทำให้เขาเข้าใจคำว่าโดดเดี่ยวมากกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน
แต่เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถูกทิ้งให้โดดเดียวนี้ กลับกลายมาเป็นก้าว ๆ หนึ่ง
สู่เส้นทางการเป็นนักร้องของเขา
ตอนที่ 2 YB: ของขวัญวันเกิดที่ผมให้ตัวเองตอนอายุ 12 คือ....
แทยังนั้น รักดนตรีมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เพราะถูกเลี้ยงดูเติบโตมาในบ้านของญาติ ทำให้เค้าถูกส่งไปเข้าเรียนในโรงเรียนการแสดง
" อาจจะเป็นเพราะว่าโรงเรียนสอนการแสดงกำลังได้รับความนิยมมากฮะในสมัยนั้น ลูกพี่ลูกน้องของผมก็เข้าเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงเหมือนกัน ดังนั้นผมก็เลยไปเรียนกับพวกเค้า แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการหรอกฮะ"
แม้ ว่าเค้าจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเกี่ยวกับการเรียนในโรงเรียนการแสดง แต่เป็นเพราะการเรียนที่นี่ทำให้เค้ามีโอกาสที่จะได้เป็นนักร้อง เพราะในระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ เค้าถึงมีโอกาสได้ไปปรากฏกายในเอ็มวีเพลงของ jinusean ในบทคุณชอร์น ตอนเด็ก
"ที่โรงเรียนอนุญาติให้ผมออกไปออดิชั่นงานต่างๆได้ด้วยฮะ ตอนนั้นผมได้ไปเป็นตัวประกอบหลายงานเลย และบังเอิญตอนนั้น วายจีกำลังหาคนที่จะเข้าไปแสดงในมิวสิควีดีโอของ jinusean ผมเลยเข้าไปคัดตัวและได้รับบท คุณชอร์นตอนเด็กมา "
แทยังมีโอกาสได้ เจอกับท่านประธาน ยางฮยอนซอก เจ้าของบริษัท วายจีเอนเตอร์เทนเม้นซ์ด้วย ในขณะที่จะต้องเข้าฉากรับบทเป็น คุณชอร์นตอนเด็กในเอ็มวี สำหรับเด็กชายอายุ 12 ปีในตอนนั้น ในสายตาของแทยัง มองว่าไม่มีใครยอดเยี่ยมกว่า jinu sean และท่านยางอีกแล้ว
"เพลงของพวกเค้ารวมถึงเสื้อผ้าดูดีมากเลยครับ ผมคิดทันทีว่า " ฉันจะต้องเข้าบริษัทนี้ให้ได้" แม้ว่าจะมาแค่ถ่ายเอ็มวีก็ตาม"
การที่ได้มาถ่ายเอ็มวี ของ jinusean ทำให้แทยังได้มีโอกาส มาทำรายการเพลงกับjinusean ด้วย ในวันสุดท้ายของการออกอากาศ แทยังน้อยๆก็เปิดใจของเค้าสารภาพกับท่านประธานยางว่าเค้าต้องการที่จะเข้ามา อยู่ในสังกัดบริษัทวายจี ซึ่งท่านยางก็ตอบว่ามีความเป็นไปได้
"ท่าน ประธานยางฮยอนซอกบอกผมว่าเค้าจะโทรติดต่อมาให้ผมมาที่บริษัท บางทีอาจจะเป็นแค่คำพูดที่เค้าพูดเพื่อให้ผมรู้สึกดีก็ได้ เพราะผมดูเป็นเด็กที่น่ารักและนั่นแหละทำให้ผมเข้าใจผิด"
เค้ารอคอย การติดต่อกลับมาเป็นเดือนๆ แต่ ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมา ในที่สุดแทยังก็ทนไม่ไหว เค้าเดินเข้าไปในบริษัทวายจีอย่างกล้าหาญในวันเกิดของเค้า มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของท่านประธาน
แทยัง : "ทำไมคุณไม่โทรติดต่อกลับหาผมเลย??? "
ท่านประธาน : "ฉันลืมไปหนะ งั้นมาและเริ่มฝึกซ้อมเลยนะพรุ่งนี้"
YBตอนที่ 3 " ในช่วงที่ยังเป็น trainee เวลาในฤดูร้อนนั้นสดใสกว่าปกติ "
และแล้ว แทยังที่มีอายุได้ 12 ปีในตอนนั้นก็ได้เข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัดที่ วายจี เอนเตอร์เทนเม้นซ์
การที่ได้มองย้อนกลับไปในช่วงวันเวลาดังกล่าวทำให้เค้ามีความสุขได้เสมอ
"ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นใครหรือจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามล้วนต้องมีความรู้สึกเศร้าใจบ้างในตอนนั้น
เพราะไม่รู้ว่าเราจะทำมันได้รึเปล่า?? "
แทยังมีความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องเพราะเค้ารักดนตรีอย่างมาก
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเค้าถึงยอมที่จะกล้ำกลืนฝึกทนกับความกังวลต่างๆของเค้า
" เราฝึกซ้อมท่ามกลางความกังวลอยู่ตลอดเวลา เพราะ เราได้แต่ฝึกซ้อมอย่างไม่มีวันจบโดยที่ไม่มีเวลากำหนดตายตัว
หรือมีอะไรมาทำให้มั่นใจได้เลยว่าเราจะได้เดบิวกันเมื่อไหร่ "
แต่ก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะทั้งตลกและทำให้มีความสุขมากไปกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว
เค้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันแล้ววันเล่า
และด้วยความหวังว่าเค้าจะสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
"เมื่อเร็วๆนี้ ผมคุยกับจียงถึงว่าเรามีความสุขมากแค่ไหนในช่วงวันเวลาที่ยังเป็นเด็กฝึกหัดกัน
ในตอนนั้นเราไม่มีเวลาว่างมากเท่าไหร่ แต่บางครั้งท่านประธานยางก็จะเอาเงินมาให้เรา 1 หมี่นวอน
ซึ่งสำหรับเด็กแล้วมันเป็นเงินที่เยอะมาก เราก็จะมานั่งคิดกันว่า เราจะเอาเงินนี้ไปใช้ทำอะไรสนุกๆๆกัน
แทนที่จะค่อยๆใช้อย่างประหยัด ซึ่งไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็น่าสนใจทั้งนั้นฮะ"
เมื่อไหร่ก็ตามที่เค้าได้รับเงินค่าขนม เค้ามักจะเอาไปชอปปิ้งที่ Dongdaemon กับจีดราก้อน
พวกเค้าต่างมองหาเสื้อผ้าที่ดูดีแต่ต้องมีราคาไม่แพงเหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆไป
" ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินแค่ 1 หมี่นวอน เราก็สามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า (หัวเราะ)
เราขึ้นเวทีไปยืนกับพวกรุ่นพี่หลังจากที่ แต่งตัวกันเต็มที่ "
จีดราก้อนและแทยังเป็น คู่ ที่ยุ่งมากกว่าใครในเวลานั้น
พวกเค้าสวมหมวกที่ต่างกันไปขึ้นแสดงในงานของรุ่นพี่
พร้อมๆกับสร้างและสะสมประสบการณ์ไปด้วย
"จียงและผมยุ่งมากที่สุดครับ ในขณะที่รุ่นพี่ของเราอย่าง Big Mama, Lexy และ Wheesung กำลังทำงานโปรโมทของพวกเค้า
แต่พวกเราเรียกได้ว่ายุ่งกว่าพวกเค้าซะอีก
เซเว่นเองก็ดูแลแทยังและจีดราก้อนเป็นพิเศษในช่วงที่พวกเค้าเป็นเด็กฝึกหัด
"พี่เซเว่น จะไปเล่นโต้คลื่นทุกๆฤดูร้อนเลยฮะ เพราะแบบนั้นเค้าก็จะพาเราไปด้วยแล้วก็จะได้เที่ยวกัน
ผมจำได้ว่าฤดูร้อนนั้นสดใสกว่าปกติ ตอนที่เราเล่นกระดานโต้คลื่นและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
มันคงไม่มีเวลาไหนที่จะมีความสุขมากไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับผม ในเวลานั้น "
[TRANS] youngbae 4 "ผมกับจียงเคยตีกันครั้งนึง"
แทยัง (ชื่อจริง ทงยองเบ อายุ 23) และจีดราก้อน (ชื่อจริง ควอนจียง อายุ 23 ปี)
เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อนตอนที่เป็นเด็กฝึกหัด
หลังจากที่พวกเราได้ทราบถึงเรื่องราวความเป็นเพื่อนสนิทของพวกเขามาแล้ว
Asiae เลยสงสัยว่า พวกเขาเคยแข่งกันบ้างหรือเปล่า ? หรือเคยสู้กันบ้างไหม ?
"เราเคยสู้กันครั้งนึงครับ" แทยังยอมรับ "มันเกิดขึ้นตอนเล่นบาส ..."
แทยังและจีดราก้อนเล่นบาสเก็ตบอลแข่งกับแดนเซอร์ฝึกหัดที่ทั้งสองคนมักจะแพ้ตลอด
ด้วยนิสัยที่ชอบเอาชนะ แทยังคิดว่า เขาต้องชนะการแข่งบาสในคราวนี้ให้ได้
แต่จีดราก้อนกลับคิดว่า การแข่งบาสนี้มันไม่แฟร์เลยซักนิด และเขาอยากจะเลิกเล่น
"เรายังคงแพ้ตลอดครับ จียงเลยบอกให้หยุดเล่น แต่ผมบอกเขาว่า ให้เล่นจนกว่าจะชนะ
และในที่สุดพวกเราก็เลยเกิดการโต้เถียงกันว่าควรจะเล่นต่อหรือไม่ดีแล้วเราก็เลยตีกั
น (หัวเราะ)" (เปี่ยมไปด้วยสาระที่สุดจีจี้และวายบี้)
พวกเขาทั้งสองต่างกันอย่างสุดขั้วในเรื่องบุคลิกและรสนิยม ตัวอย่างเช่น
ในขณะที่จีดราก้อนเปลี่ยนทรงผมกว่า 200 ครั้งในช่วงเดบิวท์ แทยังเปลี่ยนแค่ 2 ครั้ง (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่)
"จียงไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ ครับ แต่ผมเป็นคนประเภทคิดพิจารณาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
ผมว่า นี่เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้เราเข้ากันครับ ผมคอยรั้งเขาไว้ ในขณะที่เขาจะให้ผมลองในสิ่งที่ผมไม่เคย"
หรือแม้แต่เวลาที่จะเลือกเมนูอาหาร แทยังจะเลือกอะไรก็ได้ที่ดีต่อสุขภาพ
แต่จีดราก้อนจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเมนูอาหารอยู่ในใจอยู่แล้ว (ค่อนข้างเรื่องมาก)
เขาจะมีความคิดประมาณว่า ต้องกันแบบนี้ ต้องกินแบบนั้น ตามแต่สถานการณ์และโอกาส
"ผมเป็นคนขี้ลังเลครับ ผมเลยไม่สามารถเลือกอะไรได้ง่าย ๆ แต่จียงไม่ได้เป็นแบบนั้น
ถึงอย่างนั้น พวกเราก็จะเคารพในการตัดสินใจของกันและกัน เวลาที่ผมมองดูจียง
มันจะมีอะไรซักอย่างที่ทำให้ผมรับเขาได้ ในทางกลับกันจียงก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ทุกวันนี้ ผมคิดว่า ผมไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนอีกแล้วครับ นอกจากจียง" (วายบี ถามจีรึยัง ?)
ตั้งแต่ช่วงเป็นเด็กฝึกหัด พวกเขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทและคอยสนับสนุน คอยปลอบใจ
กันมาในช่วงที่ยากลำบาก เพราะมิตรภาพของพวกเขา แทยังและจียงจึงไม่เคยรู้สึกว่ายู่เดียวดาย
ในวงการบันเทิงแห่งนี้ "เวลาที่พวกเราทำงาน แน่นอนว่า เราจะต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ผมคิดว่า จียงและผมปฎิบัติตัวต่อกันได้ดีเสมอมา"
ตอนที่ 5 YB : การทำงาน solo ให้ความรู้สึกเหมือนออกเที่ยวสะพายเป้คนเดียว
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในตอนที่เป็นศิลปินฝึกหัด
ยองเบก็ได้เดบิวในนามของสมาชิกวง บิกแบง
ในการทำกิจกรรมต่อหน้าสาธารณชน ยองเบนั้นสามารถที่จะมอบความสุขให้กับคนดูได้
แต่ลึกๆแล้วเค้าก็ยังคงมีเรื่องขัดแย้งมากมายอยู่ลับๆในใจ
" บอกตามตรงนะครับว่า ผมก็ยังคงมีความกังวลอยู่หลังจากที่ได้เดบิวแล้ว
จริงๆผมชอบ ดนตรีในแบบของ"คนดำ" มากๆๆตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
และผมก็คิดอยากที่จะเป็นแบบศิลปินที่ผมชื่นชอบ ผมมักจะฝันถึงเรื่องนี้เสมอๆ
แต่ในตอนเดบิวผมกลับได้เดบิวในนามของวงไอดอล
ผมจำเป็นต้อง"โด่งดัง"และทำงานภายใต้เพลงที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาร้องเพลงแบบนี้
ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสับสนอยู่พักใหญ่ครับ"
ยองเบได้มีโอกาสเรียนรู้เป็นครั้งแรกว่า ในโลกใบนี้ย่อมมีเรื่องที่เค้าไม่ได้คาดขึ้นเกิดขึ้นได้
เค้าเสียใจที่เค้าพลาดงานทางดนตรีที่เค้าดิ้นรนอยากจะทำมากมาย
เพราะตารางงานที่แน่นเอี๊ยด
"ผมไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะมานั่งร้องไห้
ความคาดหวังของคนมากมายที่มันมากเกินไปกลายเป็นภาระหนักสำหรับผมตั้งแต่เริ่มเดบิว
เราพยายามทำให้อัลบั้มของเราเป็นที่ยอมรับจนกระทั่งบัดนี้เราก็ยังพยายามอยู่
เรามีงานมากมายที่ต้องทำ การที่เราได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่มาครองไม่ใช่จุดจบ
เพราะเราจำเป็นต้องคิดถึงก้าวต่อไปเสมอ "
เพราะพวกเค้าเป็นวงไอดอลที่ได้รับความนิยมมาก ดังนั้นพวกเค้าจึงมีงานมากมายนอกเหนือจากงานทางด้านดนตรีด้วย
อาทิ การถ่ายโฆษณา งานที่นอกเหนือออกมาพวกนี้สร้างความเครียดให้กับแทยัง
แต่ส่วนที่ขาดหายไปนี้ก็ถูกเติมเต็มขึ้นมาได้ด้วยความพยายามของเค้า
และการทำงานในอัลบั้มเดี่ยว
"มีหลายสิ่งหลายอย่างมากครับที่ผมได้รับผ่านการทำงานเดี่ยวของผม
เมื่อตอนที่ผมทำงานในฐานะบิกแบง สมาชิกคนอื่นๆจะคอยเติมเต็มในส่วนที่ผมขาดไป
การได้ทำงานเดี่ยวนั้นให้ความรู้สึกเหมือนการออกท่องเที่ยวแบบสะพายเป้ไปคนเดียว
ผมต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็จริงแต่มันก็ให้ความรู้สึกที่วิเศษ "
และมันก็ทำให้เค้ายิ่งรักในเสียงดนตรีมากขึ้นอีก
เค้าพยายามที่จะถ่ายทอดสื่อสารและทุ่มลงไป 100 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาดังกล่าว
เค้ารู้สึกว่า ยิ่งเค้าทำให้ทุกคนพอใจมากเท่าไหร่ผ่านไปในเสียงเพลง
เค้าก็ยิ่งจะได้รับความสุขมากขึ้นเท่านั้น การที่ได้เห็นคนดูปลื้มปิติมีความสุข
แทยังก็จะมีความสุขมากที่สุดในตอนที่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าคนดูเหล่านั้นนั่นเอง
ตอนที่ 6 YB : " ผมทำอะไรลงไปบนเวที"
ปี 2009 นั้นเป็นปีที่ยากลำบากเป็นพิเศษสำหรับแทยัง
เพราะการที่ต้องเตรียมตัวทั้งงานของบิกแบงในการโปรโมทที่ญี่ปุ่นและงานในอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองด้วย
แทยังก้อยิ่งเหนื่อยมากขึ้นมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกายหรือทางจิตใจ
"ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วมันปีที่ชีวิตของผมว่างเปล่า มันเป็นเวลาที่ประหม่า
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า มันเป็นที่ 3 แล้วในอาชีพการเป็นนักร้องของผม "
สำหรับเค้าแล้ว บ่อยครั้งที่การขึ้นไปอยู่บนเวทีกลายเป็นเรื่องที่จำเจเป็นเรื่องที่ควรจะต้องทำเลยทำไปแบบนั้น
การร้องเพลงบนเวทีที่มีรูปแบบเดิมๆ ทำให้เค้าหมดแรง
และมันกลายเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับเค้า
แทยังเคยมีความสุขที่สุด ในการได้ร้องเพลงได้เต้นต่อหน้าผู้ชม
และเค้าเชื่อว่าสิ่งนี้จะนำความสุขที่สุดมาสู่เค้า
แต่เค้าก็รู้สึกสงสารตัวเองที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างดีที่สุด
"ผมคิดว่าตัวเองร้องเพลงออกมาแบบไม่มีความจริงใจ
และรู้สึกว่า " นี่ผมทำอะไรลงไปบนเวทีเนี่ย??"
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่เค้าจำเป็นต้องเตรียมงานเดี่ยวของตัวเองภายใต้ตารางงานที่แน่นเอี๊ยด
ดนตรีของเค้าไม่ได้ออกมาจากจิตใจที่อยากจะเริ่มทำ ใจของเค้ารู้สึกไม่มั่นคง
เหมือนกับว่า เค้าเก็บกดอะไรไว้และมันก็ไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัดของผลงานที่จะออกมา
"หลังจากที่งานในตารางงานจบลง ผมก็ต้องเตรียมงานอัลบั้มเดี่ยว ผมถูกกดดันด้วยเวลาและงานอื่น
ดังนั้นผมไม่สามารถที่จะสงบใจทำงานได้อย่างที่ต้องการได้เลย"
ในตอนนั้น เค้าร้องเพลงตามโทนเสียงและจังหวะ แต่ไม่มีความรู้สึกใดๆ
ประตูในใจของเค้าได้ถูกปิดสนิท มันเป็นเวลาที่ยากสำหรับเค้าในการต้องพบปะผู้คนและต้องยิ้ม
"ผมไม่อยากจะเจอใครเลย ดังนั้นผมจึงอยู่แต่ในบ้าน
นอกจากนี้ผมก็นอนไม่ค่อยหลับด้วย"
แต่ เมื่อเค้าเห็นหิมะแรกของปี 2010 เค้าก้อเปลี่ยนใจ
"มันยากเกินไปที่จะใช้ชีวิตแบบนี้"
[Trans] Taeyang Ep: 7 "ผมอยากจะมีแฟนให้ได้ภายในปีนี้จริง ๆ นะครับ"
ด้วยความที่เป็นคนขี้อาย แทยัง (ชื่อจริง ดงยองเบ อายุ 23 ปี)
จึงไม่เคยมีโอกาสที่จะได้เดทกับใครเลย (เฮ่อ วายบีเป็นได้อีก)
"ปีนี้ ผมอยากจะได้แฟนมาก ๆ เลยนะครับ เพราะผมรู้สึกว่า
ถ้าผมแก่ตัวลง ผมจะไม่สามารถเดทกับใครได้อีกแล้ว"
(วายบี ไม่ต้องรีบ ชีวิตอีกยาวไกล แก่แล้วก็ไม่เหงา เชื่อดิ)
แทยังอิจฉาคู่รักคู่นึงมาก ๆ นั่นคือ (ลุง)ชยอน กับ จองฮเยยัง
เวลาที่เขาได้เห็นชยอนมีครอบครัวที่มีความสุขมากมายขนาดนั้น
มันทำให้เขาคิดว่า "ผมต้องมีชีวิตที่มีความสุขแบบนั้นบ้าง"
"ประมาณ 3 เดือนก่อน ผมได้มีโอกาสไปบ้านพี่ชยอน
เพราะพี่เขาชวนผมไปทานข้าวเย็นที่บ้าน ตอนที่ผมกำลังกินข้าว
พอได้เห็นพี่ฮเยยังกับฮาอึม ฮารังและฮายูล ทำให้ผมคิดถึงหลายอย่าง"
สิ่งที่เขาเห็น คือ ความสุขในครอบครัว (บ้านแสนสุข)
พวกเขาเป็นครอบครัวที่แค่เห็นก็มีความสุขแล้ว
แต่แทยังเป็นผู้ชายที่อ่อนประสบการณ์ในการเดทกับสาว ๆ
ถึงแม้เขาจะถูกใจใครแค่ไหน เขาก็มักจะไม่กล้าแล้วคิดแต่ว่า
แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ หรือไม่ก็ เขาจะเป็นตัวถ่วงของเธอมั้ย ?
(พ่อคนดีสามโลก ซักทีสิ ๆ ขอคนดี ๆ ให้เค้านะ เลวไม่เอา)
"ผมมีรักแรกตอนเป็นนักเรียนครับ (กรี๊ดดด ใครคะ ๆ ?)
ผมคิดว่า ผมเป็นที่พึ่งของเธอไม่ได้ เราเลยเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีครับ
ถ้าเวลานั้นผมคิดเหมือนตอนนี้ พวกเราคงไปกันได้ดีแน่ ๆ"
แทยังจะมัวแต่ลังเลแล้วลังเลอีก เพราะเขากลัวว่า
ทำลายรักแรกของตัวเอง เพราะเธอเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก
(กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด ไม่อยากแปลเลยพาร์ทนี้)
"เธอตั้งใจเรียนเพราะจะเข้ามัธยมที่เน้นภาษาต่างประเทศครับ
เธอเรียนหนักมากครับ และผมเห็นว่า เธอต้องคิดหนักที่ต้องตัดสินใจว่า
จะออกมาพบมาเที่ยวกับผมดีมั้ยน่ะครับ แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่สำคัญด้วย"
(กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ซัพพอร์ตเตอร์ช้ำค่ะช้ำ)
เมื่อเขาเห็นว่าเธอต้องเรียนหนักเพื่ออนาคต เขาจึงยอมถอยเพื่อเธอ (กี๊ด เจ็บปวด)
แล้วหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เดทกับเธอเลยเพราะว่าต้องซ้อมหนัก
และยุ่งเรื่องการทำกิจกรรมร่วมกับพี่ ๆ ในค่ายอีกด้วย
เขาเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยที่ถ้าตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว
เขาจะหมกมุ่นกับมันมาก และเขาจะมีความรอบคอบและซีเรียส
สิ่งนี้กลายมาเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อความรักของเขา
"ทุกคนสามารถพบเจอบางคนได้อย่างสบายใจ
แต่ทำไมสำหรับผมมันไม่เป็นแบบนั้นบ้างล่ะครับ ?"
[TRAN] Taeyang EP: 8 "ถ้าเธอคนนั้นเป็นรักสุดท้ายของผม"
"ผมชอบคนที่ห่วงใยคนอื่นครับ"
ผู้หญิงในอุดมคติของแทยังเป็นผู้หญิงที่มีความจริงใจและใสบริสุทธิ์
เขาอยากจะเจอใครซักคนที่ห่วงใยผู้อื่นและดูอบอุ่นมากกว่าคนที่ดูโดดเด่น
และเขาก็อยากได้ผู้หญิงที่เขารู้สึกชอบเธอจริง ๆ ด้วย
แทยังอยากมีความสัมพันธ์ที่จริงจังและลึกซึ้งมากกว่าความสัมพันธ์ชั่วคราว
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่า การที่เขาไม่สามารถพบปะใครซักคนได้อย่างสนิทใจนั้นเป็นสิ่งไม่ดี
แต่เขาก็บอกว่า นั่นเป็นเพราะเขาอยากให้กันพบกันนั้นเป็นการพบกันที่จะยืนยาวไปจนจบ
"สำหรับคนอื่นแล้ว ก็เป็นไปได้ครับที่จะเจอใครซักคนที่เข้ากันได้ดี
และพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้ แต่สำหรับผมแล้วมันไม่ค่อยเวิร์ค
ผมอยากได้เธอที่จะคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่
แทนที่จะเป็นคนที่ผมจะไปพบเฉพาะเวลาที่มีเวลาว่าง
ถ้าในอนาคต ผมจะเจอใครซักคน ผมอยากจะให้เธอเป็นรักสุดท้ายของผมครับ"
เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจัง แทยังจึงกังวลหลายเรื่องเวลาที่จะรักใครซักคน
แต่เพราะเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครมาก่อน
จึงมีช่วงเวลาที่เขารู้สึกว่า มีอะไรขาดหายไปจากชีวิตของเขา
เขาจึงพยายามถ่ายทอดมันลงไปในเพลงของเขาเอง
แต่ด้วยความที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ความรักหรือแม้แต่อกหัก
เขาจึงทำได้แค่จินตนาการแล้วถ่ายทอดออกไปในเสียงเพลง
"ผมอยากจะเจอคนที่ผมชอบและรักเธอจริง ๆครับ ผมไม่อยากพบกัน
แล้วก็ทะเลาะกัน แล้วก็ต้องเจ็บปวด จนสุดท้ายก็เลิกรากันไปแบบนั้น
แต่ผมต้องร้องเพลงที่เกี่ยวกับการเจ็บปวดจากความรักที่จากไป
มันก็มีหลายครั้งนะครับที่ผมจินตนาการไปว่า มันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
อย่างในเพลง นามันบาราบวา เอง ผมต้องร้องเพลงแบบเศร้า ๆ
ทั้งที่ผมไม่มีประสบการณ์แบบนั้นมาก่อนเลย ผมก็เลยร้องไปในอารมณ์ประมาณว่า
ผมรักคุณมากจริง ๆ นะแบบนั้นน่ะครับ"
เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ที่ขี้วิตกกังวลและมีโอกาสมากมายในชีวิต
ด้วยความสุขุมและจริงจังของเขา แทยังไตร่ตรองทุกก้าวย่างที่เขาเดิน
คำพูดที่จริงจังและซื่อตรงของเขาที่ปราศจากความอวดรู้นั่น น่าเชื่อถือมากทีเดียว
[TRAN] Taeyang EP: 9 "พอทีความเจ็บปวด.......ถึงเวลามอบของขวัญ"
เป็นธรรมดาที่เมื่อมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น แน่นอนกว่าจะได้มาย่อมต้องผ่านความทุกข์ทรมานมาก่อน
ผลของการยอมทุกข์ทรมานที่แทยังประสบในช่วงปีที่ผ่านมากำลังจะออกมาให้เห็นแล้ว
ในรูปแบบของ อัลบั้มเต็ม
" เราเกือบจะเข้าสู่จุดจบแล้วละครับ เราเลือกเอาแต่เพลงที่ดีที่สุดเข้ามาอยู่ในอัลบั้ม
และผมคิดว่าจะมีเพลงที่เราเลือกไว้น้อยเหมือนกัน น่าจะประมาณ 10 เพลง"
จริงๆแล้ว ก็เป็นเพราะการที่เค้าต้องเตรียมงานในอัลบั้มของเค้านี่แหละ
ที่ทำให้เค้าต้องผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานจนพูดไม่ออกในช่วงปีที่ผ่านมานี้
การที่เค้าต้องทำงานในอัลบั้มเดี่ยวและต้องทำงานโปรโมทในตารางงานอย่างสม่ำเสมอควบคู่กัน
ทำให้เค้ามีช่วงเวลาที่ลำบากทั้งทางกายและทางจิตใจ
เค้าต้องทุ่มเทลงแรงอย่างมากเพื่อที่จะให้อัลบั้มใหม่ออกมาน่าพอใจที่สุด
"ผมคิดว่าอัลบั้มของผมจะออกมาเร็วๆนี้แหละครับมันจะเป็นอัลบั้มเต็มของผมอัลบั้มแรก
ดังนั้นอารมณ์มันจึงแตกต่างอย่างมากจากมินิอัลบั้มหรือซิงเกิลนะครับ"
เค้ายังทำงานออกมาในสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง
ที่เค้าไม่เคยได้มีโอกาสสามารถทำได้มาก่อน
"ผมไม่สามารถบอกได้จริงๆว่าเพลงเหล่านั้นมันเป็นสไตล์อะไร แต่คุณจะรู้เองเมื่อได้ยินมัน
และมันอาจจะเป็นอะไรที่ใหม่มากครับ แทนที่จะเลือกเพลงที่เข้ากับยุคเข้ากับสมัย
ผมเลือกเพลงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บ่งบอกตัวผมมามากกว่า
ซึ่งเพลงทั้งหมดพื้นฐานเพลงล้วนเป็นเพลงแนว R&B "
ในช่วงที่แทยังทำงานในอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง เค้ากลายเป็นคนอ่อนไหวมาก
ถึงจุดที่ว่าสมาชิกคนอื่นๆในบิกแบงไม่สามารถเข้าถึงเค้าได้ง่ายๆ
"เป็นเพราะมันเป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในชื่อของผม ผมจึงรู้สึกเครียดมากและโมโหง่าย
มันทำให้ผมคิดว่า ทำไมผมจึงมาทำงานเพลง ??
ผมมาทำงานเพลงเพราะมันทำให้ผมมีความสุข
ดังนั้นเวลาผมทำงานผมก็ควรจะมีความสุข
และผมก็คิดว่ามันไม่ถูกต้องนะถ้ามันจะจบลงที่มันสร้างความเจ็บปวดให้กับผม"
การที่ถูกไล่หลังตามมาติดๆกับตารางงานที่แสนจะยุ่ง
และการที่เค้าต้องคอยเก็บรวบรวมสติของเค้าให้กลับคืนมาเป็นพลังงานในการทำงาน
ยิ่งลำบากมากแค่ไหนเค้าก็ได้เติบโตมากเท่านั้น
"ตอนนี้ผมสบายใจแล้วครับ จริงๆผมอยากจะบอกกับแฟนๆว่า
ไม่ต้องซื้อของขวัญให้ผมหรอกนะครับในวันเกิดปีนี้
ผมแค่อยากจะขอโทษที่ไม่ได้มอบอะไรให้กับพวกเค้าเลย
แต่ผมคิดว่าผมกำลังจะสามารถมอบขวัญให้พวกเค้าได้ในเร็ววันนี้แหละ
ผมตื่นเต้นมากๆครับ"
นักร้องที่มีลักษณะการพูดคุยที่สุขุม ทัศนะคติที่เรียบง่ายและอ่อนน้อมถ่อมตัว
และเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และน่าหลงใหล ผมได้พบกับแทยัง (อายุ 23 ปี ชื่อจริง ทงยองเบ)
หนึ่งในสมาชิกคนหนึ่งของบิ้กแบง ผู้ที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนแม้พวกเขาจะได้เจอแทยังแค่แว๊บเดียว
แทยังผู้ที่มีแววตายิ้มและเขินอายที่ติดตาตรึงใจ แทยังตื่นเต้นมากที่จะได้ออกอัลบั้มโซโล่เต็มอัลบั้มแรก
และเขาก็ได้แสดงความน่าดึงดูดของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี ในการเปิดตัวโซโล่เดี่ยวนั้นด้วย
แต่นั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นสำหรับอัลบั้มที่กำลังจะออกต่อจากนี้ไปเท่านั้น
แทยังบอกว่า เขาค่อนข้างกดดันเมื่อปีที่แล้ว เพราะเขาจะต้องแสดงสิ่งใหม่ ๆ
ให้ทุกคนเห็นในโอกาสที่เขารอคอยมาตลอดในปีนี้
ผมเคยได้ยินมาว่า มีเด็กที่ฟังเพลงแก้เหงาตอนที่เขาเด็ก ๆ
และในที่สุดเขาก็โตขึ้นมาเป็นนักร้องที่สร้างความมีชีวิตชีวาให้คนมากมาย
แม้ว่าเขาจะมีความวิตกกังวลมาตลอด แต่เขาก็แชร์ความรู้สึกนั้นไปพร้อมกันความฝันของเขา
"ผมเป็นเด็กขี้แงตอนเด็ก ๆ ครับ ผมจะร้องไห้ตอนที่ต้องไปโรงเรียนอนุบาลตอนเช้า
ผมร้องไห้เพราะคิดว่า ถ้าผมกลับบ้านมาจากโรงเรียนแล้วไม่เจอแม่ล่ะ
ผมเป็นเด็กขี้แงจริง ๆ นะ ผมร้องไห้วันละสามถึงสี่หนต่อวันเลยล่ะครับ ..."”
แทยังที่ขี้แงและใจดีชอบเสียงเพลงเอามาก ๆ พี่ชายที่อายุมากกว่า 5 ปีของเขา
ก็ชอบเสียงเพลงเหมือนกัน ดังนั้นแทยังเลยมีโอกาสที่จะได้ฟังเพลงแนวต่าง ๆ มากมายเลยในวัยเด็ก
"ผมได้ฟังเพลงหลายแนวเลยครับ โดยเฉพาะเพลงป๊อบและคลาสสิค
ผมชอบประวัติของนักดนตรีหลายคนเลยครับ เช่น โมสาร์ท ชูเบิร์ต บีโทเฟ่น
ผมจำประวัติของพวกเขาได้หมดเลยล่ะครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้อยู่เลยครับ
ถึงจะลืมไปบ้างแล้ว แต่ผมก็เคยเรียนเปียโนนะครับ เพราะว่าผมชอบเสียงเพลงนั่นเองครับ"
มีหลายช่วงที่เขารู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว ๆๆๆๆ เขาก็เลยเริ่มฟังเพลงอย่างจริงจัง
ในช่วงที่เขาอยู่เกรด 4 (ป.4) IMF เข้ามาเหี่ยวข้องกับครอบครัวเขา
เพราะบริษัทของพ่อแทยังล้มละลายและเขาต้องย้ายไปอยู่บ้านญาติ
แทยังต้องอยู่แยกจากพ่อแม่ของเขาทั้งที่ยังเด็กมาก เขามีวิทยุและเสียงเพลงเป็นเพื่อน
เพราะเขาไม่สามารถซื้อแผ่นเพลงที่เขาอยากฟังทุกอัน ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยในกระเป๋าได้
โลกของวิทยุเป็นที่ ๆ อ้าแขนต้อนรับเขาเสมอ ( โฮ โฮ วายบี T T )
"ผมฟังวิทยุบ่อยมากครับเวลาที่แยกจากครอบครัวของผม มันเป็นช่วงที่โดดเดี่ยว
และยุ่งยากมากสำหรับผมครับ แต่ก็พอทนได้ครับ เพราะผมได้ฟังวิทยุแก้เหงา"
แทยังถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในช่วงนั้น เขาหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้
การที่ต้องมองบ้านของตัวเองหายวับไปกับตา ทำให้เขาเข้าใจคำว่าโดดเดี่ยวมากกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน
แต่เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถูกทิ้งให้โดดเดียวนี้ กลับกลายมาเป็นก้าว ๆ หนึ่ง
สู่เส้นทางการเป็นนักร้องของเขา
ตอนที่ 2 YB: ของขวัญวันเกิดที่ผมให้ตัวเองตอนอายุ 12 คือ....
แทยังนั้น รักดนตรีมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เพราะถูกเลี้ยงดูเติบโตมาในบ้านของญาติ ทำให้เค้าถูกส่งไปเข้าเรียนในโรงเรียนการแสดง
" อาจจะเป็นเพราะว่าโรงเรียนสอนการแสดงกำลังได้รับความนิยมมากฮะในสมัยนั้น ลูกพี่ลูกน้องของผมก็เข้าเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงเหมือนกัน ดังนั้นผมก็เลยไปเรียนกับพวกเค้า แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการหรอกฮะ"
แม้ ว่าเค้าจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเกี่ยวกับการเรียนในโรงเรียนการแสดง แต่เป็นเพราะการเรียนที่นี่ทำให้เค้ามีโอกาสที่จะได้เป็นนักร้อง เพราะในระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ เค้าถึงมีโอกาสได้ไปปรากฏกายในเอ็มวีเพลงของ jinusean ในบทคุณชอร์น ตอนเด็ก
"ที่โรงเรียนอนุญาติให้ผมออกไปออดิชั่นงานต่างๆได้ด้วยฮะ ตอนนั้นผมได้ไปเป็นตัวประกอบหลายงานเลย และบังเอิญตอนนั้น วายจีกำลังหาคนที่จะเข้าไปแสดงในมิวสิควีดีโอของ jinusean ผมเลยเข้าไปคัดตัวและได้รับบท คุณชอร์นตอนเด็กมา "
แทยังมีโอกาสได้ เจอกับท่านประธาน ยางฮยอนซอก เจ้าของบริษัท วายจีเอนเตอร์เทนเม้นซ์ด้วย ในขณะที่จะต้องเข้าฉากรับบทเป็น คุณชอร์นตอนเด็กในเอ็มวี สำหรับเด็กชายอายุ 12 ปีในตอนนั้น ในสายตาของแทยัง มองว่าไม่มีใครยอดเยี่ยมกว่า jinu sean และท่านยางอีกแล้ว
"เพลงของพวกเค้ารวมถึงเสื้อผ้าดูดีมากเลยครับ ผมคิดทันทีว่า " ฉันจะต้องเข้าบริษัทนี้ให้ได้" แม้ว่าจะมาแค่ถ่ายเอ็มวีก็ตาม"
การที่ได้มาถ่ายเอ็มวี ของ jinusean ทำให้แทยังได้มีโอกาส มาทำรายการเพลงกับjinusean ด้วย ในวันสุดท้ายของการออกอากาศ แทยังน้อยๆก็เปิดใจของเค้าสารภาพกับท่านประธานยางว่าเค้าต้องการที่จะเข้ามา อยู่ในสังกัดบริษัทวายจี ซึ่งท่านยางก็ตอบว่ามีความเป็นไปได้
"ท่าน ประธานยางฮยอนซอกบอกผมว่าเค้าจะโทรติดต่อมาให้ผมมาที่บริษัท บางทีอาจจะเป็นแค่คำพูดที่เค้าพูดเพื่อให้ผมรู้สึกดีก็ได้ เพราะผมดูเป็นเด็กที่น่ารักและนั่นแหละทำให้ผมเข้าใจผิด"
เค้ารอคอย การติดต่อกลับมาเป็นเดือนๆ แต่ ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมา ในที่สุดแทยังก็ทนไม่ไหว เค้าเดินเข้าไปในบริษัทวายจีอย่างกล้าหาญในวันเกิดของเค้า มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของท่านประธาน
แทยัง : "ทำไมคุณไม่โทรติดต่อกลับหาผมเลย??? "
ท่านประธาน : "ฉันลืมไปหนะ งั้นมาและเริ่มฝึกซ้อมเลยนะพรุ่งนี้"
YBตอนที่ 3 " ในช่วงที่ยังเป็น trainee เวลาในฤดูร้อนนั้นสดใสกว่าปกติ "
และแล้ว แทยังที่มีอายุได้ 12 ปีในตอนนั้นก็ได้เข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัดที่ วายจี เอนเตอร์เทนเม้นซ์
การที่ได้มองย้อนกลับไปในช่วงวันเวลาดังกล่าวทำให้เค้ามีความสุขได้เสมอ
"ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นใครหรือจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามล้วนต้องมีความรู้สึกเศร้าใจบ้างในตอนนั้น
เพราะไม่รู้ว่าเราจะทำมันได้รึเปล่า?? "
แทยังมีความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องเพราะเค้ารักดนตรีอย่างมาก
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเค้าถึงยอมที่จะกล้ำกลืนฝึกทนกับความกังวลต่างๆของเค้า
" เราฝึกซ้อมท่ามกลางความกังวลอยู่ตลอดเวลา เพราะ เราได้แต่ฝึกซ้อมอย่างไม่มีวันจบโดยที่ไม่มีเวลากำหนดตายตัว
หรือมีอะไรมาทำให้มั่นใจได้เลยว่าเราจะได้เดบิวกันเมื่อไหร่ "
แต่ก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะทั้งตลกและทำให้มีความสุขมากไปกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว
เค้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันแล้ววันเล่า
และด้วยความหวังว่าเค้าจะสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
"เมื่อเร็วๆนี้ ผมคุยกับจียงถึงว่าเรามีความสุขมากแค่ไหนในช่วงวันเวลาที่ยังเป็นเด็กฝึกหัดกัน
ในตอนนั้นเราไม่มีเวลาว่างมากเท่าไหร่ แต่บางครั้งท่านประธานยางก็จะเอาเงินมาให้เรา 1 หมี่นวอน
ซึ่งสำหรับเด็กแล้วมันเป็นเงินที่เยอะมาก เราก็จะมานั่งคิดกันว่า เราจะเอาเงินนี้ไปใช้ทำอะไรสนุกๆๆกัน
แทนที่จะค่อยๆใช้อย่างประหยัด ซึ่งไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็น่าสนใจทั้งนั้นฮะ"
เมื่อไหร่ก็ตามที่เค้าได้รับเงินค่าขนม เค้ามักจะเอาไปชอปปิ้งที่ Dongdaemon กับจีดราก้อน
พวกเค้าต่างมองหาเสื้อผ้าที่ดูดีแต่ต้องมีราคาไม่แพงเหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆไป
" ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินแค่ 1 หมี่นวอน เราก็สามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า (หัวเราะ)
เราขึ้นเวทีไปยืนกับพวกรุ่นพี่หลังจากที่ แต่งตัวกันเต็มที่ "
จีดราก้อนและแทยังเป็น คู่ ที่ยุ่งมากกว่าใครในเวลานั้น
พวกเค้าสวมหมวกที่ต่างกันไปขึ้นแสดงในงานของรุ่นพี่
พร้อมๆกับสร้างและสะสมประสบการณ์ไปด้วย
"จียงและผมยุ่งมากที่สุดครับ ในขณะที่รุ่นพี่ของเราอย่าง Big Mama, Lexy และ Wheesung กำลังทำงานโปรโมทของพวกเค้า
แต่พวกเราเรียกได้ว่ายุ่งกว่าพวกเค้าซะอีก
เซเว่นเองก็ดูแลแทยังและจีดราก้อนเป็นพิเศษในช่วงที่พวกเค้าเป็นเด็กฝึกหัด
"พี่เซเว่น จะไปเล่นโต้คลื่นทุกๆฤดูร้อนเลยฮะ เพราะแบบนั้นเค้าก็จะพาเราไปด้วยแล้วก็จะได้เที่ยวกัน
ผมจำได้ว่าฤดูร้อนนั้นสดใสกว่าปกติ ตอนที่เราเล่นกระดานโต้คลื่นและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
มันคงไม่มีเวลาไหนที่จะมีความสุขมากไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับผม ในเวลานั้น "
[TRANS] youngbae 4 "ผมกับจียงเคยตีกันครั้งนึง"
แทยัง (ชื่อจริง ทงยองเบ อายุ 23) และจีดราก้อน (ชื่อจริง ควอนจียง อายุ 23 ปี)
เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อนตอนที่เป็นเด็กฝึกหัด
หลังจากที่พวกเราได้ทราบถึงเรื่องราวความเป็นเพื่อนสนิทของพวกเขามาแล้ว
Asiae เลยสงสัยว่า พวกเขาเคยแข่งกันบ้างหรือเปล่า ? หรือเคยสู้กันบ้างไหม ?
"เราเคยสู้กันครั้งนึงครับ" แทยังยอมรับ "มันเกิดขึ้นตอนเล่นบาส ..."
แทยังและจีดราก้อนเล่นบาสเก็ตบอลแข่งกับแดนเซอร์ฝึกหัดที่ทั้งสองคนมักจะแพ้ตลอด
ด้วยนิสัยที่ชอบเอาชนะ แทยังคิดว่า เขาต้องชนะการแข่งบาสในคราวนี้ให้ได้
แต่จีดราก้อนกลับคิดว่า การแข่งบาสนี้มันไม่แฟร์เลยซักนิด และเขาอยากจะเลิกเล่น
"เรายังคงแพ้ตลอดครับ จียงเลยบอกให้หยุดเล่น แต่ผมบอกเขาว่า ให้เล่นจนกว่าจะชนะ
และในที่สุดพวกเราก็เลยเกิดการโต้เถียงกันว่าควรจะเล่นต่อหรือไม่ดีแล้วเราก็เลยตีกั
น (หัวเราะ)" (เปี่ยมไปด้วยสาระที่สุดจีจี้และวายบี้)
พวกเขาทั้งสองต่างกันอย่างสุดขั้วในเรื่องบุคลิกและรสนิยม ตัวอย่างเช่น
ในขณะที่จีดราก้อนเปลี่ยนทรงผมกว่า 200 ครั้งในช่วงเดบิวท์ แทยังเปลี่ยนแค่ 2 ครั้ง (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่)
"จียงไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ ครับ แต่ผมเป็นคนประเภทคิดพิจารณาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
ผมว่า นี่เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้เราเข้ากันครับ ผมคอยรั้งเขาไว้ ในขณะที่เขาจะให้ผมลองในสิ่งที่ผมไม่เคย"
หรือแม้แต่เวลาที่จะเลือกเมนูอาหาร แทยังจะเลือกอะไรก็ได้ที่ดีต่อสุขภาพ
แต่จีดราก้อนจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเมนูอาหารอยู่ในใจอยู่แล้ว (ค่อนข้างเรื่องมาก)
เขาจะมีความคิดประมาณว่า ต้องกันแบบนี้ ต้องกินแบบนั้น ตามแต่สถานการณ์และโอกาส
"ผมเป็นคนขี้ลังเลครับ ผมเลยไม่สามารถเลือกอะไรได้ง่าย ๆ แต่จียงไม่ได้เป็นแบบนั้น
ถึงอย่างนั้น พวกเราก็จะเคารพในการตัดสินใจของกันและกัน เวลาที่ผมมองดูจียง
มันจะมีอะไรซักอย่างที่ทำให้ผมรับเขาได้ ในทางกลับกันจียงก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ทุกวันนี้ ผมคิดว่า ผมไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนอีกแล้วครับ นอกจากจียง" (วายบี ถามจีรึยัง ?)
ตั้งแต่ช่วงเป็นเด็กฝึกหัด พวกเขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทและคอยสนับสนุน คอยปลอบใจ
กันมาในช่วงที่ยากลำบาก เพราะมิตรภาพของพวกเขา แทยังและจียงจึงไม่เคยรู้สึกว่ายู่เดียวดาย
ในวงการบันเทิงแห่งนี้ "เวลาที่พวกเราทำงาน แน่นอนว่า เราจะต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ผมคิดว่า จียงและผมปฎิบัติตัวต่อกันได้ดีเสมอมา"
ตอนที่ 5 YB : การทำงาน solo ให้ความรู้สึกเหมือนออกเที่ยวสะพายเป้คนเดียว
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในตอนที่เป็นศิลปินฝึกหัด
ยองเบก็ได้เดบิวในนามของสมาชิกวง บิกแบง
ในการทำกิจกรรมต่อหน้าสาธารณชน ยองเบนั้นสามารถที่จะมอบความสุขให้กับคนดูได้
แต่ลึกๆแล้วเค้าก็ยังคงมีเรื่องขัดแย้งมากมายอยู่ลับๆในใจ
" บอกตามตรงนะครับว่า ผมก็ยังคงมีความกังวลอยู่หลังจากที่ได้เดบิวแล้ว
จริงๆผมชอบ ดนตรีในแบบของ"คนดำ" มากๆๆตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
และผมก็คิดอยากที่จะเป็นแบบศิลปินที่ผมชื่นชอบ ผมมักจะฝันถึงเรื่องนี้เสมอๆ
แต่ในตอนเดบิวผมกลับได้เดบิวในนามของวงไอดอล
ผมจำเป็นต้อง"โด่งดัง"และทำงานภายใต้เพลงที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาร้องเพลงแบบนี้
ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสับสนอยู่พักใหญ่ครับ"
ยองเบได้มีโอกาสเรียนรู้เป็นครั้งแรกว่า ในโลกใบนี้ย่อมมีเรื่องที่เค้าไม่ได้คาดขึ้นเกิดขึ้นได้
เค้าเสียใจที่เค้าพลาดงานทางดนตรีที่เค้าดิ้นรนอยากจะทำมากมาย
เพราะตารางงานที่แน่นเอี๊ยด
"ผมไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะมานั่งร้องไห้
ความคาดหวังของคนมากมายที่มันมากเกินไปกลายเป็นภาระหนักสำหรับผมตั้งแต่เริ่มเดบิว
เราพยายามทำให้อัลบั้มของเราเป็นที่ยอมรับจนกระทั่งบัดนี้เราก็ยังพยายามอยู่
เรามีงานมากมายที่ต้องทำ การที่เราได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่มาครองไม่ใช่จุดจบ
เพราะเราจำเป็นต้องคิดถึงก้าวต่อไปเสมอ "
เพราะพวกเค้าเป็นวงไอดอลที่ได้รับความนิยมมาก ดังนั้นพวกเค้าจึงมีงานมากมายนอกเหนือจากงานทางด้านดนตรีด้วย
อาทิ การถ่ายโฆษณา งานที่นอกเหนือออกมาพวกนี้สร้างความเครียดให้กับแทยัง
แต่ส่วนที่ขาดหายไปนี้ก็ถูกเติมเต็มขึ้นมาได้ด้วยความพยายามของเค้า
และการทำงานในอัลบั้มเดี่ยว
"มีหลายสิ่งหลายอย่างมากครับที่ผมได้รับผ่านการทำงานเดี่ยวของผม
เมื่อตอนที่ผมทำงานในฐานะบิกแบง สมาชิกคนอื่นๆจะคอยเติมเต็มในส่วนที่ผมขาดไป
การได้ทำงานเดี่ยวนั้นให้ความรู้สึกเหมือนการออกท่องเที่ยวแบบสะพายเป้ไปคนเดียว
ผมต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็จริงแต่มันก็ให้ความรู้สึกที่วิเศษ "
และมันก็ทำให้เค้ายิ่งรักในเสียงดนตรีมากขึ้นอีก
เค้าพยายามที่จะถ่ายทอดสื่อสารและทุ่มลงไป 100 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาดังกล่าว
เค้ารู้สึกว่า ยิ่งเค้าทำให้ทุกคนพอใจมากเท่าไหร่ผ่านไปในเสียงเพลง
เค้าก็ยิ่งจะได้รับความสุขมากขึ้นเท่านั้น การที่ได้เห็นคนดูปลื้มปิติมีความสุข
แทยังก็จะมีความสุขมากที่สุดในตอนที่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าคนดูเหล่านั้นนั่นเอง
ตอนที่ 6 YB : " ผมทำอะไรลงไปบนเวที"
ปี 2009 นั้นเป็นปีที่ยากลำบากเป็นพิเศษสำหรับแทยัง
เพราะการที่ต้องเตรียมตัวทั้งงานของบิกแบงในการโปรโมทที่ญี่ปุ่นและงานในอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองด้วย
แทยังก้อยิ่งเหนื่อยมากขึ้นมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกายหรือทางจิตใจ
"ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วมันปีที่ชีวิตของผมว่างเปล่า มันเป็นเวลาที่ประหม่า
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า มันเป็นที่ 3 แล้วในอาชีพการเป็นนักร้องของผม "
สำหรับเค้าแล้ว บ่อยครั้งที่การขึ้นไปอยู่บนเวทีกลายเป็นเรื่องที่จำเจเป็นเรื่องที่ควรจะต้องทำเลยทำไปแบบนั้น
การร้องเพลงบนเวทีที่มีรูปแบบเดิมๆ ทำให้เค้าหมดแรง
และมันกลายเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับเค้า
แทยังเคยมีความสุขที่สุด ในการได้ร้องเพลงได้เต้นต่อหน้าผู้ชม
และเค้าเชื่อว่าสิ่งนี้จะนำความสุขที่สุดมาสู่เค้า
แต่เค้าก็รู้สึกสงสารตัวเองที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างดีที่สุด
"ผมคิดว่าตัวเองร้องเพลงออกมาแบบไม่มีความจริงใจ
และรู้สึกว่า " นี่ผมทำอะไรลงไปบนเวทีเนี่ย??"
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่เค้าจำเป็นต้องเตรียมงานเดี่ยวของตัวเองภายใต้ตารางงานที่แน่นเอี๊ยด
ดนตรีของเค้าไม่ได้ออกมาจากจิตใจที่อยากจะเริ่มทำ ใจของเค้ารู้สึกไม่มั่นคง
เหมือนกับว่า เค้าเก็บกดอะไรไว้และมันก็ไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัดของผลงานที่จะออกมา
"หลังจากที่งานในตารางงานจบลง ผมก็ต้องเตรียมงานอัลบั้มเดี่ยว ผมถูกกดดันด้วยเวลาและงานอื่น
ดังนั้นผมไม่สามารถที่จะสงบใจทำงานได้อย่างที่ต้องการได้เลย"
ในตอนนั้น เค้าร้องเพลงตามโทนเสียงและจังหวะ แต่ไม่มีความรู้สึกใดๆ
ประตูในใจของเค้าได้ถูกปิดสนิท มันเป็นเวลาที่ยากสำหรับเค้าในการต้องพบปะผู้คนและต้องยิ้ม
"ผมไม่อยากจะเจอใครเลย ดังนั้นผมจึงอยู่แต่ในบ้าน
นอกจากนี้ผมก็นอนไม่ค่อยหลับด้วย"
แต่ เมื่อเค้าเห็นหิมะแรกของปี 2010 เค้าก้อเปลี่ยนใจ
"มันยากเกินไปที่จะใช้ชีวิตแบบนี้"
[Trans] Taeyang Ep: 7 "ผมอยากจะมีแฟนให้ได้ภายในปีนี้จริง ๆ นะครับ"
ด้วยความที่เป็นคนขี้อาย แทยัง (ชื่อจริง ดงยองเบ อายุ 23 ปี)
จึงไม่เคยมีโอกาสที่จะได้เดทกับใครเลย (เฮ่อ วายบีเป็นได้อีก)
"ปีนี้ ผมอยากจะได้แฟนมาก ๆ เลยนะครับ เพราะผมรู้สึกว่า
ถ้าผมแก่ตัวลง ผมจะไม่สามารถเดทกับใครได้อีกแล้ว"
(วายบี ไม่ต้องรีบ ชีวิตอีกยาวไกล แก่แล้วก็ไม่เหงา เชื่อดิ)
แทยังอิจฉาคู่รักคู่นึงมาก ๆ นั่นคือ (ลุง)ชยอน กับ จองฮเยยัง
เวลาที่เขาได้เห็นชยอนมีครอบครัวที่มีความสุขมากมายขนาดนั้น
มันทำให้เขาคิดว่า "ผมต้องมีชีวิตที่มีความสุขแบบนั้นบ้าง"
"ประมาณ 3 เดือนก่อน ผมได้มีโอกาสไปบ้านพี่ชยอน
เพราะพี่เขาชวนผมไปทานข้าวเย็นที่บ้าน ตอนที่ผมกำลังกินข้าว
พอได้เห็นพี่ฮเยยังกับฮาอึม ฮารังและฮายูล ทำให้ผมคิดถึงหลายอย่าง"
สิ่งที่เขาเห็น คือ ความสุขในครอบครัว (บ้านแสนสุข)
พวกเขาเป็นครอบครัวที่แค่เห็นก็มีความสุขแล้ว
แต่แทยังเป็นผู้ชายที่อ่อนประสบการณ์ในการเดทกับสาว ๆ
ถึงแม้เขาจะถูกใจใครแค่ไหน เขาก็มักจะไม่กล้าแล้วคิดแต่ว่า
แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ หรือไม่ก็ เขาจะเป็นตัวถ่วงของเธอมั้ย ?
(พ่อคนดีสามโลก ซักทีสิ ๆ ขอคนดี ๆ ให้เค้านะ เลวไม่เอา)
"ผมมีรักแรกตอนเป็นนักเรียนครับ (กรี๊ดดด ใครคะ ๆ ?)
ผมคิดว่า ผมเป็นที่พึ่งของเธอไม่ได้ เราเลยเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีครับ
ถ้าเวลานั้นผมคิดเหมือนตอนนี้ พวกเราคงไปกันได้ดีแน่ ๆ"
แทยังจะมัวแต่ลังเลแล้วลังเลอีก เพราะเขากลัวว่า
ทำลายรักแรกของตัวเอง เพราะเธอเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก
(กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด ไม่อยากแปลเลยพาร์ทนี้)
"เธอตั้งใจเรียนเพราะจะเข้ามัธยมที่เน้นภาษาต่างประเทศครับ
เธอเรียนหนักมากครับ และผมเห็นว่า เธอต้องคิดหนักที่ต้องตัดสินใจว่า
จะออกมาพบมาเที่ยวกับผมดีมั้ยน่ะครับ แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่สำคัญด้วย"
(กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ซัพพอร์ตเตอร์ช้ำค่ะช้ำ)
เมื่อเขาเห็นว่าเธอต้องเรียนหนักเพื่ออนาคต เขาจึงยอมถอยเพื่อเธอ (กี๊ด เจ็บปวด)
แล้วหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เดทกับเธอเลยเพราะว่าต้องซ้อมหนัก
และยุ่งเรื่องการทำกิจกรรมร่วมกับพี่ ๆ ในค่ายอีกด้วย
เขาเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยที่ถ้าตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว
เขาจะหมกมุ่นกับมันมาก และเขาจะมีความรอบคอบและซีเรียส
สิ่งนี้กลายมาเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อความรักของเขา
"ทุกคนสามารถพบเจอบางคนได้อย่างสบายใจ
แต่ทำไมสำหรับผมมันไม่เป็นแบบนั้นบ้างล่ะครับ ?"
[TRAN] Taeyang EP: 8 "ถ้าเธอคนนั้นเป็นรักสุดท้ายของผม"
"ผมชอบคนที่ห่วงใยคนอื่นครับ"
ผู้หญิงในอุดมคติของแทยังเป็นผู้หญิงที่มีความจริงใจและใสบริสุทธิ์
เขาอยากจะเจอใครซักคนที่ห่วงใยผู้อื่นและดูอบอุ่นมากกว่าคนที่ดูโดดเด่น
และเขาก็อยากได้ผู้หญิงที่เขารู้สึกชอบเธอจริง ๆ ด้วย
แทยังอยากมีความสัมพันธ์ที่จริงจังและลึกซึ้งมากกว่าความสัมพันธ์ชั่วคราว
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่า การที่เขาไม่สามารถพบปะใครซักคนได้อย่างสนิทใจนั้นเป็นสิ่งไม่ดี
แต่เขาก็บอกว่า นั่นเป็นเพราะเขาอยากให้กันพบกันนั้นเป็นการพบกันที่จะยืนยาวไปจนจบ
"สำหรับคนอื่นแล้ว ก็เป็นไปได้ครับที่จะเจอใครซักคนที่เข้ากันได้ดี
และพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้ แต่สำหรับผมแล้วมันไม่ค่อยเวิร์ค
ผมอยากได้เธอที่จะคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่
แทนที่จะเป็นคนที่ผมจะไปพบเฉพาะเวลาที่มีเวลาว่าง
ถ้าในอนาคต ผมจะเจอใครซักคน ผมอยากจะให้เธอเป็นรักสุดท้ายของผมครับ"
เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจัง แทยังจึงกังวลหลายเรื่องเวลาที่จะรักใครซักคน
แต่เพราะเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครมาก่อน
จึงมีช่วงเวลาที่เขารู้สึกว่า มีอะไรขาดหายไปจากชีวิตของเขา
เขาจึงพยายามถ่ายทอดมันลงไปในเพลงของเขาเอง
แต่ด้วยความที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ความรักหรือแม้แต่อกหัก
เขาจึงทำได้แค่จินตนาการแล้วถ่ายทอดออกไปในเสียงเพลง
"ผมอยากจะเจอคนที่ผมชอบและรักเธอจริง ๆครับ ผมไม่อยากพบกัน
แล้วก็ทะเลาะกัน แล้วก็ต้องเจ็บปวด จนสุดท้ายก็เลิกรากันไปแบบนั้น
แต่ผมต้องร้องเพลงที่เกี่ยวกับการเจ็บปวดจากความรักที่จากไป
มันก็มีหลายครั้งนะครับที่ผมจินตนาการไปว่า มันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
อย่างในเพลง นามันบาราบวา เอง ผมต้องร้องเพลงแบบเศร้า ๆ
ทั้งที่ผมไม่มีประสบการณ์แบบนั้นมาก่อนเลย ผมก็เลยร้องไปในอารมณ์ประมาณว่า
ผมรักคุณมากจริง ๆ นะแบบนั้นน่ะครับ"
เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ที่ขี้วิตกกังวลและมีโอกาสมากมายในชีวิต
ด้วยความสุขุมและจริงจังของเขา แทยังไตร่ตรองทุกก้าวย่างที่เขาเดิน
คำพูดที่จริงจังและซื่อตรงของเขาที่ปราศจากความอวดรู้นั่น น่าเชื่อถือมากทีเดียว
[TRAN] Taeyang EP: 9 "พอทีความเจ็บปวด.......ถึงเวลามอบของขวัญ"
เป็นธรรมดาที่เมื่อมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น แน่นอนกว่าจะได้มาย่อมต้องผ่านความทุกข์ทรมานมาก่อน
ผลของการยอมทุกข์ทรมานที่แทยังประสบในช่วงปีที่ผ่านมากำลังจะออกมาให้เห็นแล้ว
ในรูปแบบของ อัลบั้มเต็ม
" เราเกือบจะเข้าสู่จุดจบแล้วละครับ เราเลือกเอาแต่เพลงที่ดีที่สุดเข้ามาอยู่ในอัลบั้ม
และผมคิดว่าจะมีเพลงที่เราเลือกไว้น้อยเหมือนกัน น่าจะประมาณ 10 เพลง"
จริงๆแล้ว ก็เป็นเพราะการที่เค้าต้องเตรียมงานในอัลบั้มของเค้านี่แหละ
ที่ทำให้เค้าต้องผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานจนพูดไม่ออกในช่วงปีที่ผ่านมานี้
การที่เค้าต้องทำงานในอัลบั้มเดี่ยวและต้องทำงานโปรโมทในตารางงานอย่างสม่ำเสมอควบคู่กัน
ทำให้เค้ามีช่วงเวลาที่ลำบากทั้งทางกายและทางจิตใจ
เค้าต้องทุ่มเทลงแรงอย่างมากเพื่อที่จะให้อัลบั้มใหม่ออกมาน่าพอใจที่สุด
"ผมคิดว่าอัลบั้มของผมจะออกมาเร็วๆนี้แหละครับมันจะเป็นอัลบั้มเต็มของผมอัลบั้มแรก
ดังนั้นอารมณ์มันจึงแตกต่างอย่างมากจากมินิอัลบั้มหรือซิงเกิลนะครับ"
เค้ายังทำงานออกมาในสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง
ที่เค้าไม่เคยได้มีโอกาสสามารถทำได้มาก่อน
"ผมไม่สามารถบอกได้จริงๆว่าเพลงเหล่านั้นมันเป็นสไตล์อะไร แต่คุณจะรู้เองเมื่อได้ยินมัน
และมันอาจจะเป็นอะไรที่ใหม่มากครับ แทนที่จะเลือกเพลงที่เข้ากับยุคเข้ากับสมัย
ผมเลือกเพลงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บ่งบอกตัวผมมามากกว่า
ซึ่งเพลงทั้งหมดพื้นฐานเพลงล้วนเป็นเพลงแนว R&B "
ในช่วงที่แทยังทำงานในอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง เค้ากลายเป็นคนอ่อนไหวมาก
ถึงจุดที่ว่าสมาชิกคนอื่นๆในบิกแบงไม่สามารถเข้าถึงเค้าได้ง่ายๆ
"เป็นเพราะมันเป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในชื่อของผม ผมจึงรู้สึกเครียดมากและโมโหง่าย
มันทำให้ผมคิดว่า ทำไมผมจึงมาทำงานเพลง ??
ผมมาทำงานเพลงเพราะมันทำให้ผมมีความสุข
ดังนั้นเวลาผมทำงานผมก็ควรจะมีความสุข
และผมก็คิดว่ามันไม่ถูกต้องนะถ้ามันจะจบลงที่มันสร้างความเจ็บปวดให้กับผม"
การที่ถูกไล่หลังตามมาติดๆกับตารางงานที่แสนจะยุ่ง
และการที่เค้าต้องคอยเก็บรวบรวมสติของเค้าให้กลับคืนมาเป็นพลังงานในการทำงาน
ยิ่งลำบากมากแค่ไหนเค้าก็ได้เติบโตมากเท่านั้น
"ตอนนี้ผมสบายใจแล้วครับ จริงๆผมอยากจะบอกกับแฟนๆว่า
ไม่ต้องซื้อของขวัญให้ผมหรอกนะครับในวันเกิดปีนี้
ผมแค่อยากจะขอโทษที่ไม่ได้มอบอะไรให้กับพวกเค้าเลย
แต่ผมคิดว่าผมกำลังจะสามารถมอบขวัญให้พวกเค้าได้ในเร็ววันนี้แหละ
ผมตื่นเต้นมากๆครับ"
03 มิถุนายน 2553
[TRANS] TOP อยากกลายเป็นปีศาจ
ก่อนการสัมภาษณ์ ฉันกังวลนิดๆว่า ฉันควรจะเรียกเค้าว่า ท็อป หรือ ชเวซึงฮยอนดี สรุปให้คุณผู้อ่านเลยดีกว่าว่า ฉันใช่ทั้งท็อปและซึงฮยอนไปพร้อมๆกันโดยที่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใดตลอดการสัมภาษณ์นี้
ในการสัมภาษณ์เพื่อใช้โปรโมทภาพยนตร์ เรื่อง Into the fire โดยผู้กำกับ lee jae han ที่จะออกฉายในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ฉันพบท็อปในวันที่ 20 พฤษภาคม ในร้านกาแฟแห่งนึงในโซล ท็อปไม่เหมือนกับไอดอลคนอื่นๆที่มาเป็นนักแสดง ที่จะทิ้งชื่อที่ใช้ในวงการนักร้องและหันมาใช้ชื่อที่ได้มาตั้งแต่เกิดเพื่อวงการแสดง และมักจะพูดว่า " โปรดลืมภาพของผมที่คุณเคยเห็นบนเวทีไปนะครับ" แต่ท็อปยังคงไม่ปฏิเสธที่จะเป็นทั้ง ท็อปจากบิกแบงและนักแสดงที่ชื่อว่าชเวซึงฮยอน
นอกจากนี้ วันนี้ท็อปยังพูดว่า " ผมคิดว่าจะกลับขึ้นเวทีอีกครั้งแล้วละครับ" ทิ้งอดีตในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาช่วงเวลาที่เค้ายุ่งมากๆๆ กับละครเรื่อง ไอริช และ ภาพยนตร์เรื่อง into the fire เอาไว้ข้างหลัง ท็อปกำลังนึกถึงก้าวต่อไปแล้ว " ตอนนี้ผมคิดว่าผมต้องการที่จะกลับไปนักร้องที่ชื่อท็อป ผมตั้งปฏิธานไว้ในใจแล้วว่าจะไม่ทิ้งทั้งสองด้านนี้ของตัวเอง " ท็อปเลือกที่จะไม่หนีแล้วก็ไม่ละทิ้งมัน มันเป็นเรื่องเล็กๆๆ ของท็อปที่เข้าสู่วัย 24 ในการที่จะต้องพยายามหาความสมดุลให้กับทั้งงานในด้านการแสดงและงานเพลง
อย่างงั้น คะแนนที่ท็อปควรจะได้จากผลงานภาพยนตร์จอยักษ์ครั้งแรกจะเป็นยังไง?? ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ลงโรงฉายแต่นักวิจารณ์ต่างให้ความคิดเห็นที่ดีมาก การชำเลืองตามองที่แสนจะดุดันของท็อปในตัวอย่างภาพยนตร์เป็นสิ่งที่ผู้คนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างมาก
นักแสดงรุ่นพี่ที่แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่าง Cha Seung Won, Kim Seung Woo, Kwon Sang Wooต่างกล่าวชมทักษะการแสดงของท็อปกันอย่างมาก เหล่านักวิจารณ์ก็กล่าวชมว่า " นี่เป็นภาพยนตร์ของท็อป เป็นการค้นพบอีกตัวตนของท็อป" แต่ส่วนตัวของท็อปเองแล้วเค้ากลับมีปฏิกริยาที่น้อยกว่านั้น
"เมื่อมองดูแล้วผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่มีความหมายมากกับคนในรุ่นผม แต่ขนาดตอนที่ผมกำลังถ่ายทำอยู่ผมก็ไม่ได้รู้สึกในเรื่องนี้มากนะ จนกระทั่งการถ่ายทำจบลงผมถึงจะมีอิสระทางความคิดพอที่จะมานั่งคิดในเรื่องนั้น"
แต่เค้าก็กล่าวว่า ระดับความพอใจของตัวเค้าเองต่อภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นสูงทีเดียว " ผมไม่สามารถที่จะให้คะแนนออกมาได้หรอกครับ แต่ผมทุ่มเททุกอย่างลงไปแล้วและผมก็รู้สึกว่าผมพอใจนะครับ ผมไม่ได้เป็นตัวเองเลยในตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ " ท็อปกล่าวเมื่อพูดถึงความพยายามที่เค้าทุ่มลงไปในหนัง
" จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมีความสัมพันธ์เป็นพี่เป็นน้องกับผู้กำกับ Lee Jae Han ผู้ซึ่งมีบุคคลิกคล้ายๆกับผมครับ เราพูดคุยกันเยอะเลยฮะในที่ทำงานของเค้าก่อนที่จะมีการเริ่มการถ่ายทำ และผมก็คิดว่าผมต้องการที่จะเก็บเอาท็อปแอบเอาไว้ชั่วคราวก่อนเพื่อที่จะรับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับบอกกับผมว่า " ฉันไม่รู้ว่าเทคนิคในการแสดงของนายจะดีแค่ไหนนะในตอนนี้ แต่ยังไงก็ทุ่มเททั้งหมดลงไปในการแสดงเรื่องนี้ก้อแล้วกัน" เป็นเพราะเราพูดคุยกันในเรื่องนี้ ผมจึงมาปรับใจและผมก็รู้วิธีที่ใช้ปรับตัวก่อนที่จะขึ้นเวทีมาปรับใช้ในการรับบทในเรื่องนี้ฮะ"
การที่ได้พูดคุยกับผู้กำกับในแนวทางแบบนั้น ความพยายามของท็อปที่จะแยกระหว่างนักร้องกับนักแสดงให้ออกจากกันอย่างเด็ดขาดกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมาย เค้าเป็นศิลปินที่รวมเอาทั้งการแสดงและแรงกระตุ้นจากดนตรีเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนแต่เค้าก็ยังคงหลีกเลี่ยงพยายามไม่ให้น้ำหนักโอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่งมากไป เค้ายังเรียนรู้ที่จะทุ่มเทลงไปเต็มร้อยกับงานทั้งคู่ และกลายเป็นที่สุดของทั้งสองวงการ
จู่ๆฉันก็เริ่มอยากรู้ขึ้นมาว่าท็อปในตอนอายุ 30 จะเป็นยังไง
" คุณคิดว่าเราจะได้เห็นคุณเป็นแบบไหนตอนที่คุณอายุ 30 ??" และคำตอบของท็อปก้อคือ
"ผมก็เดาไม่ออกจริงๆครับ แต่ผมอยากจะเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ในทุกๆเรื่อง ผมอยากจะเป็นคนที่สดใหม่ จนถึงจุดที่คนจะเรียกว่าผมเป็นปีศาจเลย ผมอยากจะเป็นคนที่กระตุ้นความคาดหวังและความอยากรู้อยากเห็น ให้กับทุกคนที่ได้ยินชื่อ TOP "
ในตอนจบ ท็อปยังทิ้งท้ายเอาไว้ ว่า " มันง่ายมากฮะที่จะเป็นคนที่เท่ แต่การที่จะเป็นคนที่น่าค้นหานั่นแหละ ยาก "
02 มิถุนายน 2553
[NEWS] แทยัง (Tae Yang) อยากมีแฟนในปีนี้?
ด้วยบุคลิกภาพที่ขี้อาย แทยัง (Tae Yang) อายุ 23 ปีที่ชื่อว่าดองยังเบ (Dong Young Bae) ไม่เคยเดทใครจริงๆ อย่างจริงใจ
“ผมอยากจะมีแฟนจริงๆ ในปีนี้ครับ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมแก่ขึ้นเรื่อยๆ ผมจะไม่สามารถไปเดทใครได้”
แทยังมีคู่ที่เขาอิจฉาอย่างมากคือคู่ Sean และจองเฮยัง (Jung Hye Young) เขากล่าวเมื่อเขาเห็น Sean อยู่อย่างมีความสุข เขาคิดว่า “เขาควรจะได้ใช้ชีวิตเช่นนั้นด้วยเช่นกัน”
“ผมคิดมาเกือบ 3 เดือนแล้ว ผมไปหาพี่ Sean ที่บ้านของเขา เพราะเขาบอกว่าจะทำอาหารเย็นให้ผม ผมกำลังทานอาหารอยู่ และเมื่อผมเห็นพี่เฮยังกับฮาอึม (Ha Eum), ฮารัง (Ha Rang) และฮายูล (Ha Yul) ผมรู้สึกอย่างมากมาย”
สิ่งที่เขาเห็นคือชีวิตครอบครัวที่มีความสุข มันเป็นบ้านที่ทำให้มีความสุขถึงแม้ว่าจะเพียงแค่เห็นก็ตาม
อย่างไรก็ตามแทยังเป็นผู้ชายที่อ่อนแอสำหรับการเดท เขาสูญเสียเวลาของเขาด้วยการกล่าวว่า “อะไรที่มันไม่เวิร์ค?” และ “จะมากเกินไปมั้ย?” ถึงแม้ว่าเขาจะชอบใครก็ตาม
“ผมมีความรักครั้งแรก เมื่อตอนที่ผมอยู่ในโรงเรียน แต่ผมคิดว่า ผมคงไม่มีประโยชน์สำหรับคนๆ นั้น ดังนั้นพวกเราไม่ได้เริ่มต้นด้วยดี ถ้าผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนนี้ พวกเราอาจจะไปกันได้สวยกว่านี้...”
เขาลังเลอีกครั้งและอีกครั้ง เพราะว่าเขาคิดว่าเขาอาจะสร้างความเสียหายสำหรับรักแรกของเขา ที่กำลังเรียนอย่างหนัก
“เธอกำลังเรียนเพื่อที่จะไปศึกษาต่อที่ไฮสคูลพิเศษในทางด้านภาษา เธอยังเรียนอย่างหนัก และผมเห็นว่าเธอต้องคิดหนักในการที่จะตัดสินใจจะคบกับผมหรือไม่ ในช่วงหัวเลี่ยวหัวต่อเช่นนั้น”
การที่เห็นเธอเรียนหนังสืออย่างหนัก เขาต้องถอนตัวเองเพื่อช่วยเธอ หลังจากนั้นแทยังก็ไม่เคยเดทหลังจากที่ต้องซ้อมอย่างหนักและตารางงานที่ยุ่งมากๆ
เขาเป็นคนที่มีบุคลิกนิสัย เมื่อเขาโฟกัสในสิ่งหนึ่ง เขาจะตั้งใจทำเต็มที่ แต่เขาจะระมัดระวังและซีเรียสตลอด จึงเป็นเหมือนอุปสรรคต่อในการเดท
[Pic] Big Bang @ Saitama Iris Event
ที่ประเทศญี่ปุ่นสามารถจำหน่ายบัตรที่จัดขึ้นที่ Osaka Castle Hall ในวันที่ 26 พฤษภาคมหมด โดยมีนักแสดงจากละครเรื่อง IRIS จัดงาน IRIS Dramatic Live Stage and Concert สำหรับแฟนๆ จำนวน 20,000 คน ซึ่งมีนักแสดงนำจากละครเรื่องนี้มาร่วมในงาน ลีบยองฮุน (Lee Byung Hun), คิมแตฮี (Kim Tae Hee), จองจุนโฮ (Jung Joon Ho), คิมซึงวู (Kim Seung Woo), คิมโซยอน (Kim So Yeon) และท็อป (T.O.P) จากวง Big Bang มาร่วมในงานนี้ พวกเขาต่างตอบคำถามรายบุคคลที่เป็นคำถามเกี่ยวกับละครเรื่อง IRIS ถึงฉากและบทต่างๆ แฟนๆ กล่าวลีบยองฮุนและคิมแตฮีร้องเพลงให้ฟังอีกด้วย
ศิลปินจากเพลงประกอบละคเรื่อง IRIS ซึ่งมีเบคจิยัง (Baek Ji Young), คิมแทวู (Kim Tae Woo) และวง Big Bang ต่างแสดงเพลงของพวกเขาที่ร้องประกอบในละคร โดยที่เบคจิยังและคิมแทวูร้องเพลงฮิต Don’t Forget และ Dreaming Dream ซึ่งมีรายงานว่าวง Big Bang ร้องถึง 3 เพลง คือ Gara Gara Go, Hallelujah, และเพลงใหม่ล่าสุดของพวกเขาที่ร้องสำหรับประกอบเรื่องนี้ที่ออกอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นเพลง Tell Me Goodbye โดยแฟนๆ Big Bang ต่างก็ชื่นชมในการแสดงเพลงไลฟ์ครั้งแรกเพลง Tell Me Goodbye ของพวกเขา
โดยที่แฟนๆ จะมีโอกาสอีกครั้งที่จะได้ร่วมในงาน IRIS Dramatic Live Stage and Concert ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ที่ Saitama Super Arena ที่กรุงโตเกียว โดยครั้งนี้น่าจะมีแฟนๆ ไปร่วมในงานถึง 60,000 คน
ศิลปินจากเพลงประกอบละคเรื่อง IRIS ซึ่งมีเบคจิยัง (Baek Ji Young), คิมแทวู (Kim Tae Woo) และวง Big Bang ต่างแสดงเพลงของพวกเขาที่ร้องประกอบในละคร โดยที่เบคจิยังและคิมแทวูร้องเพลงฮิต Don’t Forget และ Dreaming Dream ซึ่งมีรายงานว่าวง Big Bang ร้องถึง 3 เพลง คือ Gara Gara Go, Hallelujah, และเพลงใหม่ล่าสุดของพวกเขาที่ร้องสำหรับประกอบเรื่องนี้ที่ออกอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นเพลง Tell Me Goodbye โดยแฟนๆ Big Bang ต่างก็ชื่นชมในการแสดงเพลงไลฟ์ครั้งแรกเพลง Tell Me Goodbye ของพวกเขา
โดยที่แฟนๆ จะมีโอกาสอีกครั้งที่จะได้ร่วมในงาน IRIS Dramatic Live Stage and Concert ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ที่ Saitama Super Arena ที่กรุงโตเกียว โดยครั้งนี้น่าจะมีแฟนๆ ไปร่วมในงานถึง 60,000 คน
[Clip+Pics] Bigbang at MTV VAMJ Awards [100529] PART 3
รายชื่อเพลงที่บิ๊กแบงใช้แสดงในงาน MTV Live
Set List:
Gara Gara Go
Number 1
Tell Me Goodbye
How Gee
Hands Up
[News] จีดรากอน (G-Dragon) ถูกน้องเล็ก ซึงริ (Seung Ri) ลงโทษ เหตุทำอินเตอร์เน็ตร้อนสัปดาห์ก่อน
หลังจากจีดรากอน (G-Dragon) ถูกชาวเน็ตสงสัยว่าทำร้ายน้องชายในวงอย่างซึงริ ล่าสุดพวกเขาตอบคำถามด้วยรูปภาพที่เต็มไปด้วยไหวพริบ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในเว็บไซต์พอร์ทัลแห่งหนึ่งมีชาวเน็ตอัพโหลดคลิปในหัวข้อ 'ควอนจียงทำร้ายซึงริ' ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลงหนึ่ง
ในคลิปวีดีโอที่เปิดเผยในครั้งนี้ เป็นภาพของเบื้องหลังกองถ่ายขณะที่สมาชิกบิ๊กแบงและคิมยอนอากำลังถ่ายมิวสิควีดีโอโปรเจคเชียร์บอลโลก ซึ่งในระหว่างการเชียร์จีดรากอนก็ได้ทำท่าศอกไปที่หน้าอกของซึงริรวมทั้งหมด 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากท่ามกลางชาวเน็ตว่าอาจจะเป็นการเล่นของทั้งสองคน ซึ่งข้อศอกไม่ได้โดนตัวของซึงริแต่อย่างใด
ในครั้งนั้นทันทีที่ต้นสังกัดออกมาอธิบายว่าเป็นเพียงมุมกล้องและการหยอกล้อของทั้งคู่จนสามารถคลายความกังวลไปจากชาวเน็ตได้แล้วนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมใน me2DAY ของจีดรากอน เขาได้อัพเดทข้อความว่า 'สตรองเบบี้ฮุกท้อง' พร้อมเผยภาพในแบบตลกๆเรียกเสียงหัวเราะ
ในภาพเผยให้เห็นจีดรากอนในมาดชายหนุ่มที่ชูสองกำปั้นไว้เหนือหัว ในขณะที่ซึงรีได้ใช้ศอกฮุกเข้าไปที่ท้องของจีดรากอนในภาพลักษณ์เรียกเสียงหัวเราะ โดยเฉพาะเมื่อแฟนๆเห็นภาพถ่ายในครั้งนี้ก็ทำให้ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงการเอาคืนของซึงริจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ชาวเน็ตกล่าว "น่ารักมาก", "อธิบายเหตุการณ์ได้เยี่ยมจริงๆ" "บทสรุปของทอมแอนด์เจอรี่" ต่างให้การตอบรับอย่างร้อนแรง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)