Tae Yang : 1" ผมระงับความเหงา โดยการฟังวิทยุครับ "
นักร้องที่มีลักษณะการพูดคุยที่สุขุม ทัศนะคติที่เรียบง่ายและอ่อนน้อมถ่อมตัว
และเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และน่าหลงใหล ผมได้พบกับแทยัง (อายุ 23 ปี ชื่อจริง ทงยองเบ)
หนึ่งในสมาชิกคนหนึ่งของบิ้กแบง ผู้ที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนแม้พวกเขาจะได้เจอแทยังแค่แว๊บเดียว
แทยังผู้ที่มีแววตายิ้มและเขินอายที่ติดตาตรึงใจ แทยังตื่นเต้นมากที่จะได้ออกอัลบั้มโซโล่เต็มอัลบั้มแรก
และเขาก็ได้แสดงความน่าดึงดูดของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี ในการเปิดตัวโซโล่เดี่ยวนั้นด้วย
แต่นั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นสำหรับอัลบั้มที่กำลังจะออกต่อจากนี้ไปเท่านั้น
แทยังบอกว่า เขาค่อนข้างกดดันเมื่อปีที่แล้ว เพราะเขาจะต้องแสดงสิ่งใหม่ ๆ
ให้ทุกคนเห็นในโอกาสที่เขารอคอยมาตลอดในปีนี้
ผมเคยได้ยินมาว่า มีเด็กที่ฟังเพลงแก้เหงาตอนที่เขาเด็ก ๆ
และในที่สุดเขาก็โตขึ้นมาเป็นนักร้องที่สร้างความมีชีวิตชีวาให้คนมากมาย
แม้ว่าเขาจะมีความวิตกกังวลมาตลอด แต่เขาก็แชร์ความรู้สึกนั้นไปพร้อมกันความฝันของเขา
"ผมเป็นเด็กขี้แงตอนเด็ก ๆ ครับ ผมจะร้องไห้ตอนที่ต้องไปโรงเรียนอนุบาลตอนเช้า
ผมร้องไห้เพราะคิดว่า ถ้าผมกลับบ้านมาจากโรงเรียนแล้วไม่เจอแม่ล่ะ
ผมเป็นเด็กขี้แงจริง ๆ นะ ผมร้องไห้วันละสามถึงสี่หนต่อวันเลยล่ะครับ ..."”
แทยังที่ขี้แงและใจดีชอบเสียงเพลงเอามาก ๆ พี่ชายที่อายุมากกว่า 5 ปีของเขา
ก็ชอบเสียงเพลงเหมือนกัน ดังนั้นแทยังเลยมีโอกาสที่จะได้ฟังเพลงแนวต่าง ๆ มากมายเลยในวัยเด็ก
"ผมได้ฟังเพลงหลายแนวเลยครับ โดยเฉพาะเพลงป๊อบและคลาสสิค
ผมชอบประวัติของนักดนตรีหลายคนเลยครับ เช่น โมสาร์ท ชูเบิร์ต บีโทเฟ่น
ผมจำประวัติของพวกเขาได้หมดเลยล่ะครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้อยู่เลยครับ
ถึงจะลืมไปบ้างแล้ว แต่ผมก็เคยเรียนเปียโนนะครับ เพราะว่าผมชอบเสียงเพลงนั่นเองครับ"
มีหลายช่วงที่เขารู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว ๆๆๆๆ เขาก็เลยเริ่มฟังเพลงอย่างจริงจัง
ในช่วงที่เขาอยู่เกรด 4 (ป.4) IMF เข้ามาเหี่ยวข้องกับครอบครัวเขา
เพราะบริษัทของพ่อแทยังล้มละลายและเขาต้องย้ายไปอยู่บ้านญาติ
แทยังต้องอยู่แยกจากพ่อแม่ของเขาทั้งที่ยังเด็กมาก เขามีวิทยุและเสียงเพลงเป็นเพื่อน
เพราะเขาไม่สามารถซื้อแผ่นเพลงที่เขาอยากฟังทุกอัน ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยในกระเป๋าได้
โลกของวิทยุเป็นที่ ๆ อ้าแขนต้อนรับเขาเสมอ ( โฮ โฮ วายบี T T )
"ผมฟังวิทยุบ่อยมากครับเวลาที่แยกจากครอบครัวของผม มันเป็นช่วงที่โดดเดี่ยว
และยุ่งยากมากสำหรับผมครับ แต่ก็พอทนได้ครับ เพราะผมได้ฟังวิทยุแก้เหงา"
แทยังถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในช่วงนั้น เขาหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้
การที่ต้องมองบ้านของตัวเองหายวับไปกับตา ทำให้เขาเข้าใจคำว่าโดดเดี่ยวมากกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน
แต่เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถูกทิ้งให้โดดเดียวนี้ กลับกลายมาเป็นก้าว ๆ หนึ่ง
สู่เส้นทางการเป็นนักร้องของเขา
ตอนที่ 2 YB: ของขวัญวันเกิดที่ผมให้ตัวเองตอนอายุ 12 คือ....
แทยังนั้น รักดนตรีมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เพราะถูกเลี้ยงดูเติบโตมาในบ้านของญาติ ทำให้เค้าถูกส่งไปเข้าเรียนในโรงเรียนการแสดง
" อาจจะเป็นเพราะว่าโรงเรียนสอนการแสดงกำลังได้รับความนิยมมากฮะในสมัยนั้น ลูกพี่ลูกน้องของผมก็เข้าเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงเหมือนกัน ดังนั้นผมก็เลยไปเรียนกับพวกเค้า แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการหรอกฮะ"
แม้ ว่าเค้าจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเกี่ยวกับการเรียนในโรงเรียนการแสดง แต่เป็นเพราะการเรียนที่นี่ทำให้เค้ามีโอกาสที่จะได้เป็นนักร้อง เพราะในระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ เค้าถึงมีโอกาสได้ไปปรากฏกายในเอ็มวีเพลงของ jinusean ในบทคุณชอร์น ตอนเด็ก
"ที่โรงเรียนอนุญาติให้ผมออกไปออดิชั่นงานต่างๆได้ด้วยฮะ ตอนนั้นผมได้ไปเป็นตัวประกอบหลายงานเลย และบังเอิญตอนนั้น วายจีกำลังหาคนที่จะเข้าไปแสดงในมิวสิควีดีโอของ jinusean ผมเลยเข้าไปคัดตัวและได้รับบท คุณชอร์นตอนเด็กมา "
แทยังมีโอกาสได้ เจอกับท่านประธาน ยางฮยอนซอก เจ้าของบริษัท วายจีเอนเตอร์เทนเม้นซ์ด้วย ในขณะที่จะต้องเข้าฉากรับบทเป็น คุณชอร์นตอนเด็กในเอ็มวี สำหรับเด็กชายอายุ 12 ปีในตอนนั้น ในสายตาของแทยัง มองว่าไม่มีใครยอดเยี่ยมกว่า jinu sean และท่านยางอีกแล้ว
"เพลงของพวกเค้ารวมถึงเสื้อผ้าดูดีมากเลยครับ ผมคิดทันทีว่า " ฉันจะต้องเข้าบริษัทนี้ให้ได้" แม้ว่าจะมาแค่ถ่ายเอ็มวีก็ตาม"
การที่ได้มาถ่ายเอ็มวี ของ jinusean ทำให้แทยังได้มีโอกาส มาทำรายการเพลงกับjinusean ด้วย ในวันสุดท้ายของการออกอากาศ แทยังน้อยๆก็เปิดใจของเค้าสารภาพกับท่านประธานยางว่าเค้าต้องการที่จะเข้ามา อยู่ในสังกัดบริษัทวายจี ซึ่งท่านยางก็ตอบว่ามีความเป็นไปได้
"ท่าน ประธานยางฮยอนซอกบอกผมว่าเค้าจะโทรติดต่อมาให้ผมมาที่บริษัท บางทีอาจจะเป็นแค่คำพูดที่เค้าพูดเพื่อให้ผมรู้สึกดีก็ได้ เพราะผมดูเป็นเด็กที่น่ารักและนั่นแหละทำให้ผมเข้าใจผิด"
เค้ารอคอย การติดต่อกลับมาเป็นเดือนๆ แต่ ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมา ในที่สุดแทยังก็ทนไม่ไหว เค้าเดินเข้าไปในบริษัทวายจีอย่างกล้าหาญในวันเกิดของเค้า มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของท่านประธาน
แทยัง : "ทำไมคุณไม่โทรติดต่อกลับหาผมเลย??? "
ท่านประธาน : "ฉันลืมไปหนะ งั้นมาและเริ่มฝึกซ้อมเลยนะพรุ่งนี้"
YBตอนที่ 3 " ในช่วงที่ยังเป็น trainee เวลาในฤดูร้อนนั้นสดใสกว่าปกติ "
และแล้ว แทยังที่มีอายุได้ 12 ปีในตอนนั้นก็ได้เข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัดที่ วายจี เอนเตอร์เทนเม้นซ์
การที่ได้มองย้อนกลับไปในช่วงวันเวลาดังกล่าวทำให้เค้ามีความสุขได้เสมอ
"ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นใครหรือจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามล้วนต้องมีความรู้สึกเศร้าใจบ้างในตอนนั้น
เพราะไม่รู้ว่าเราจะทำมันได้รึเปล่า?? "
แทยังมีความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องเพราะเค้ารักดนตรีอย่างมาก
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเค้าถึงยอมที่จะกล้ำกลืนฝึกทนกับความกังวลต่างๆของเค้า
" เราฝึกซ้อมท่ามกลางความกังวลอยู่ตลอดเวลา เพราะ เราได้แต่ฝึกซ้อมอย่างไม่มีวันจบโดยที่ไม่มีเวลากำหนดตายตัว
หรือมีอะไรมาทำให้มั่นใจได้เลยว่าเราจะได้เดบิวกันเมื่อไหร่ "
แต่ก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะทั้งตลกและทำให้มีความสุขมากไปกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว
เค้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันแล้ววันเล่า
และด้วยความหวังว่าเค้าจะสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
"เมื่อเร็วๆนี้ ผมคุยกับจียงถึงว่าเรามีความสุขมากแค่ไหนในช่วงวันเวลาที่ยังเป็นเด็กฝึกหัดกัน
ในตอนนั้นเราไม่มีเวลาว่างมากเท่าไหร่ แต่บางครั้งท่านประธานยางก็จะเอาเงินมาให้เรา 1 หมี่นวอน
ซึ่งสำหรับเด็กแล้วมันเป็นเงินที่เยอะมาก เราก็จะมานั่งคิดกันว่า เราจะเอาเงินนี้ไปใช้ทำอะไรสนุกๆๆกัน
แทนที่จะค่อยๆใช้อย่างประหยัด ซึ่งไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็น่าสนใจทั้งนั้นฮะ"
เมื่อไหร่ก็ตามที่เค้าได้รับเงินค่าขนม เค้ามักจะเอาไปชอปปิ้งที่ Dongdaemon กับจีดราก้อน
พวกเค้าต่างมองหาเสื้อผ้าที่ดูดีแต่ต้องมีราคาไม่แพงเหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆไป
" ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินแค่ 1 หมี่นวอน เราก็สามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า (หัวเราะ)
เราขึ้นเวทีไปยืนกับพวกรุ่นพี่หลังจากที่ แต่งตัวกันเต็มที่ "
จีดราก้อนและแทยังเป็น คู่ ที่ยุ่งมากกว่าใครในเวลานั้น
พวกเค้าสวมหมวกที่ต่างกันไปขึ้นแสดงในงานของรุ่นพี่
พร้อมๆกับสร้างและสะสมประสบการณ์ไปด้วย
"จียงและผมยุ่งมากที่สุดครับ ในขณะที่รุ่นพี่ของเราอย่าง Big Mama, Lexy และ Wheesung กำลังทำงานโปรโมทของพวกเค้า
แต่พวกเราเรียกได้ว่ายุ่งกว่าพวกเค้าซะอีก
เซเว่นเองก็ดูแลแทยังและจีดราก้อนเป็นพิเศษในช่วงที่พวกเค้าเป็นเด็กฝึกหัด
"พี่เซเว่น จะไปเล่นโต้คลื่นทุกๆฤดูร้อนเลยฮะ เพราะแบบนั้นเค้าก็จะพาเราไปด้วยแล้วก็จะได้เที่ยวกัน
ผมจำได้ว่าฤดูร้อนนั้นสดใสกว่าปกติ ตอนที่เราเล่นกระดานโต้คลื่นและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
มันคงไม่มีเวลาไหนที่จะมีความสุขมากไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับผม ในเวลานั้น "
[TRANS] youngbae 4 "ผมกับจียงเคยตีกันครั้งนึง"
แทยัง (ชื่อจริง ทงยองเบ อายุ 23) และจีดราก้อน (ชื่อจริง ควอนจียง อายุ 23 ปี)
เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อนตอนที่เป็นเด็กฝึกหัด
หลังจากที่พวกเราได้ทราบถึงเรื่องราวความเป็นเพื่อนสนิทของพวกเขามาแล้ว
Asiae เลยสงสัยว่า พวกเขาเคยแข่งกันบ้างหรือเปล่า ? หรือเคยสู้กันบ้างไหม ?
"เราเคยสู้กันครั้งนึงครับ" แทยังยอมรับ "มันเกิดขึ้นตอนเล่นบาส ..."
แทยังและจีดราก้อนเล่นบาสเก็ตบอลแข่งกับแดนเซอร์ฝึกหัดที่ทั้งสองคนมักจะแพ้ตลอด
ด้วยนิสัยที่ชอบเอาชนะ แทยังคิดว่า เขาต้องชนะการแข่งบาสในคราวนี้ให้ได้
แต่จีดราก้อนกลับคิดว่า การแข่งบาสนี้มันไม่แฟร์เลยซักนิด และเขาอยากจะเลิกเล่น
"เรายังคงแพ้ตลอดครับ จียงเลยบอกให้หยุดเล่น แต่ผมบอกเขาว่า ให้เล่นจนกว่าจะชนะ
และในที่สุดพวกเราก็เลยเกิดการโต้เถียงกันว่าควรจะเล่นต่อหรือไม่ดีแล้วเราก็เลยตีกั
น (หัวเราะ)" (เปี่ยมไปด้วยสาระที่สุดจีจี้และวายบี้)
พวกเขาทั้งสองต่างกันอย่างสุดขั้วในเรื่องบุคลิกและรสนิยม ตัวอย่างเช่น
ในขณะที่จีดราก้อนเปลี่ยนทรงผมกว่า 200 ครั้งในช่วงเดบิวท์ แทยังเปลี่ยนแค่ 2 ครั้ง (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่)
"จียงไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ ครับ แต่ผมเป็นคนประเภทคิดพิจารณาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
ผมว่า นี่เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้เราเข้ากันครับ ผมคอยรั้งเขาไว้ ในขณะที่เขาจะให้ผมลองในสิ่งที่ผมไม่เคย"
หรือแม้แต่เวลาที่จะเลือกเมนูอาหาร แทยังจะเลือกอะไรก็ได้ที่ดีต่อสุขภาพ
แต่จีดราก้อนจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเมนูอาหารอยู่ในใจอยู่แล้ว (ค่อนข้างเรื่องมาก)
เขาจะมีความคิดประมาณว่า ต้องกันแบบนี้ ต้องกินแบบนั้น ตามแต่สถานการณ์และโอกาส
"ผมเป็นคนขี้ลังเลครับ ผมเลยไม่สามารถเลือกอะไรได้ง่าย ๆ แต่จียงไม่ได้เป็นแบบนั้น
ถึงอย่างนั้น พวกเราก็จะเคารพในการตัดสินใจของกันและกัน เวลาที่ผมมองดูจียง
มันจะมีอะไรซักอย่างที่ทำให้ผมรับเขาได้ ในทางกลับกันจียงก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ทุกวันนี้ ผมคิดว่า ผมไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนอีกแล้วครับ นอกจากจียง" (วายบี ถามจีรึยัง ?)
ตั้งแต่ช่วงเป็นเด็กฝึกหัด พวกเขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทและคอยสนับสนุน คอยปลอบใจ
กันมาในช่วงที่ยากลำบาก เพราะมิตรภาพของพวกเขา แทยังและจียงจึงไม่เคยรู้สึกว่ายู่เดียวดาย
ในวงการบันเทิงแห่งนี้ "เวลาที่พวกเราทำงาน แน่นอนว่า เราจะต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ผมคิดว่า จียงและผมปฎิบัติตัวต่อกันได้ดีเสมอมา"
ตอนที่ 5 YB : การทำงาน solo ให้ความรู้สึกเหมือนออกเที่ยวสะพายเป้คนเดียว
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในตอนที่เป็นศิลปินฝึกหัด
ยองเบก็ได้เดบิวในนามของสมาชิกวง บิกแบง
ในการทำกิจกรรมต่อหน้าสาธารณชน ยองเบนั้นสามารถที่จะมอบความสุขให้กับคนดูได้
แต่ลึกๆแล้วเค้าก็ยังคงมีเรื่องขัดแย้งมากมายอยู่ลับๆในใจ
" บอกตามตรงนะครับว่า ผมก็ยังคงมีความกังวลอยู่หลังจากที่ได้เดบิวแล้ว
จริงๆผมชอบ ดนตรีในแบบของ"คนดำ" มากๆๆตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
และผมก็คิดอยากที่จะเป็นแบบศิลปินที่ผมชื่นชอบ ผมมักจะฝันถึงเรื่องนี้เสมอๆ
แต่ในตอนเดบิวผมกลับได้เดบิวในนามของวงไอดอล
ผมจำเป็นต้อง"โด่งดัง"และทำงานภายใต้เพลงที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาร้องเพลงแบบนี้
ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสับสนอยู่พักใหญ่ครับ"
ยองเบได้มีโอกาสเรียนรู้เป็นครั้งแรกว่า ในโลกใบนี้ย่อมมีเรื่องที่เค้าไม่ได้คาดขึ้นเกิดขึ้นได้
เค้าเสียใจที่เค้าพลาดงานทางดนตรีที่เค้าดิ้นรนอยากจะทำมากมาย
เพราะตารางงานที่แน่นเอี๊ยด
"ผมไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะมานั่งร้องไห้
ความคาดหวังของคนมากมายที่มันมากเกินไปกลายเป็นภาระหนักสำหรับผมตั้งแต่เริ่มเดบิว
เราพยายามทำให้อัลบั้มของเราเป็นที่ยอมรับจนกระทั่งบัดนี้เราก็ยังพยายามอยู่
เรามีงานมากมายที่ต้องทำ การที่เราได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่มาครองไม่ใช่จุดจบ
เพราะเราจำเป็นต้องคิดถึงก้าวต่อไปเสมอ "
เพราะพวกเค้าเป็นวงไอดอลที่ได้รับความนิยมมาก ดังนั้นพวกเค้าจึงมีงานมากมายนอกเหนือจากงานทางด้านดนตรีด้วย
อาทิ การถ่ายโฆษณา งานที่นอกเหนือออกมาพวกนี้สร้างความเครียดให้กับแทยัง
แต่ส่วนที่ขาดหายไปนี้ก็ถูกเติมเต็มขึ้นมาได้ด้วยความพยายามของเค้า
และการทำงานในอัลบั้มเดี่ยว
"มีหลายสิ่งหลายอย่างมากครับที่ผมได้รับผ่านการทำงานเดี่ยวของผม
เมื่อตอนที่ผมทำงานในฐานะบิกแบง สมาชิกคนอื่นๆจะคอยเติมเต็มในส่วนที่ผมขาดไป
การได้ทำงานเดี่ยวนั้นให้ความรู้สึกเหมือนการออกท่องเที่ยวแบบสะพายเป้ไปคนเดียว
ผมต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็จริงแต่มันก็ให้ความรู้สึกที่วิเศษ "
และมันก็ทำให้เค้ายิ่งรักในเสียงดนตรีมากขึ้นอีก
เค้าพยายามที่จะถ่ายทอดสื่อสารและทุ่มลงไป 100 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาดังกล่าว
เค้ารู้สึกว่า ยิ่งเค้าทำให้ทุกคนพอใจมากเท่าไหร่ผ่านไปในเสียงเพลง
เค้าก็ยิ่งจะได้รับความสุขมากขึ้นเท่านั้น การที่ได้เห็นคนดูปลื้มปิติมีความสุข
แทยังก็จะมีความสุขมากที่สุดในตอนที่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าคนดูเหล่านั้นนั่นเอง
ตอนที่ 6 YB : " ผมทำอะไรลงไปบนเวที"
ปี 2009 นั้นเป็นปีที่ยากลำบากเป็นพิเศษสำหรับแทยัง
เพราะการที่ต้องเตรียมตัวทั้งงานของบิกแบงในการโปรโมทที่ญี่ปุ่นและงานในอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองด้วย
แทยังก้อยิ่งเหนื่อยมากขึ้นมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกายหรือทางจิตใจ
"ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วมันปีที่ชีวิตของผมว่างเปล่า มันเป็นเวลาที่ประหม่า
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า มันเป็นที่ 3 แล้วในอาชีพการเป็นนักร้องของผม "
สำหรับเค้าแล้ว บ่อยครั้งที่การขึ้นไปอยู่บนเวทีกลายเป็นเรื่องที่จำเจเป็นเรื่องที่ควรจะต้องทำเลยทำไปแบบนั้น
การร้องเพลงบนเวทีที่มีรูปแบบเดิมๆ ทำให้เค้าหมดแรง
และมันกลายเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับเค้า
แทยังเคยมีความสุขที่สุด ในการได้ร้องเพลงได้เต้นต่อหน้าผู้ชม
และเค้าเชื่อว่าสิ่งนี้จะนำความสุขที่สุดมาสู่เค้า
แต่เค้าก็รู้สึกสงสารตัวเองที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างดีที่สุด
"ผมคิดว่าตัวเองร้องเพลงออกมาแบบไม่มีความจริงใจ
และรู้สึกว่า " นี่ผมทำอะไรลงไปบนเวทีเนี่ย??"
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่เค้าจำเป็นต้องเตรียมงานเดี่ยวของตัวเองภายใต้ตารางงานที่แน่นเอี๊ยด
ดนตรีของเค้าไม่ได้ออกมาจากจิตใจที่อยากจะเริ่มทำ ใจของเค้ารู้สึกไม่มั่นคง
เหมือนกับว่า เค้าเก็บกดอะไรไว้และมันก็ไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัดของผลงานที่จะออกมา
"หลังจากที่งานในตารางงานจบลง ผมก็ต้องเตรียมงานอัลบั้มเดี่ยว ผมถูกกดดันด้วยเวลาและงานอื่น
ดังนั้นผมไม่สามารถที่จะสงบใจทำงานได้อย่างที่ต้องการได้เลย"
ในตอนนั้น เค้าร้องเพลงตามโทนเสียงและจังหวะ แต่ไม่มีความรู้สึกใดๆ
ประตูในใจของเค้าได้ถูกปิดสนิท มันเป็นเวลาที่ยากสำหรับเค้าในการต้องพบปะผู้คนและต้องยิ้ม
"ผมไม่อยากจะเจอใครเลย ดังนั้นผมจึงอยู่แต่ในบ้าน
นอกจากนี้ผมก็นอนไม่ค่อยหลับด้วย"
แต่ เมื่อเค้าเห็นหิมะแรกของปี 2010 เค้าก้อเปลี่ยนใจ
"มันยากเกินไปที่จะใช้ชีวิตแบบนี้"
[Trans] Taeyang Ep: 7 "ผมอยากจะมีแฟนให้ได้ภายในปีนี้จริง ๆ นะครับ"
ด้วยความที่เป็นคนขี้อาย แทยัง (ชื่อจริง ดงยองเบ อายุ 23 ปี)
จึงไม่เคยมีโอกาสที่จะได้เดทกับใครเลย (เฮ่อ วายบีเป็นได้อีก)
"ปีนี้ ผมอยากจะได้แฟนมาก ๆ เลยนะครับ เพราะผมรู้สึกว่า
ถ้าผมแก่ตัวลง ผมจะไม่สามารถเดทกับใครได้อีกแล้ว"
(วายบี ไม่ต้องรีบ ชีวิตอีกยาวไกล แก่แล้วก็ไม่เหงา เชื่อดิ)
แทยังอิจฉาคู่รักคู่นึงมาก ๆ นั่นคือ (ลุง)ชยอน กับ จองฮเยยัง
เวลาที่เขาได้เห็นชยอนมีครอบครัวที่มีความสุขมากมายขนาดนั้น
มันทำให้เขาคิดว่า "ผมต้องมีชีวิตที่มีความสุขแบบนั้นบ้าง"
"ประมาณ 3 เดือนก่อน ผมได้มีโอกาสไปบ้านพี่ชยอน
เพราะพี่เขาชวนผมไปทานข้าวเย็นที่บ้าน ตอนที่ผมกำลังกินข้าว
พอได้เห็นพี่ฮเยยังกับฮาอึม ฮารังและฮายูล ทำให้ผมคิดถึงหลายอย่าง"
สิ่งที่เขาเห็น คือ ความสุขในครอบครัว (บ้านแสนสุข)
พวกเขาเป็นครอบครัวที่แค่เห็นก็มีความสุขแล้ว
แต่แทยังเป็นผู้ชายที่อ่อนประสบการณ์ในการเดทกับสาว ๆ
ถึงแม้เขาจะถูกใจใครแค่ไหน เขาก็มักจะไม่กล้าแล้วคิดแต่ว่า
แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ หรือไม่ก็ เขาจะเป็นตัวถ่วงของเธอมั้ย ?
(พ่อคนดีสามโลก ซักทีสิ ๆ ขอคนดี ๆ ให้เค้านะ เลวไม่เอา)
"ผมมีรักแรกตอนเป็นนักเรียนครับ (กรี๊ดดด ใครคะ ๆ ?)
ผมคิดว่า ผมเป็นที่พึ่งของเธอไม่ได้ เราเลยเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีครับ
ถ้าเวลานั้นผมคิดเหมือนตอนนี้ พวกเราคงไปกันได้ดีแน่ ๆ"
แทยังจะมัวแต่ลังเลแล้วลังเลอีก เพราะเขากลัวว่า
ทำลายรักแรกของตัวเอง เพราะเธอเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก
(กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด ไม่อยากแปลเลยพาร์ทนี้)
"เธอตั้งใจเรียนเพราะจะเข้ามัธยมที่เน้นภาษาต่างประเทศครับ
เธอเรียนหนักมากครับ และผมเห็นว่า เธอต้องคิดหนักที่ต้องตัดสินใจว่า
จะออกมาพบมาเที่ยวกับผมดีมั้ยน่ะครับ แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่สำคัญด้วย"
(กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ซัพพอร์ตเตอร์ช้ำค่ะช้ำ)
เมื่อเขาเห็นว่าเธอต้องเรียนหนักเพื่ออนาคต เขาจึงยอมถอยเพื่อเธอ (กี๊ด เจ็บปวด)
แล้วหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เดทกับเธอเลยเพราะว่าต้องซ้อมหนัก
และยุ่งเรื่องการทำกิจกรรมร่วมกับพี่ ๆ ในค่ายอีกด้วย
เขาเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยที่ถ้าตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว
เขาจะหมกมุ่นกับมันมาก และเขาจะมีความรอบคอบและซีเรียส
สิ่งนี้กลายมาเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อความรักของเขา
"ทุกคนสามารถพบเจอบางคนได้อย่างสบายใจ
แต่ทำไมสำหรับผมมันไม่เป็นแบบนั้นบ้างล่ะครับ ?"
[TRAN] Taeyang EP: 8 "ถ้าเธอคนนั้นเป็นรักสุดท้ายของผม"
"ผมชอบคนที่ห่วงใยคนอื่นครับ"
ผู้หญิงในอุดมคติของแทยังเป็นผู้หญิงที่มีความจริงใจและใสบริสุทธิ์
เขาอยากจะเจอใครซักคนที่ห่วงใยผู้อื่นและดูอบอุ่นมากกว่าคนที่ดูโดดเด่น
และเขาก็อยากได้ผู้หญิงที่เขารู้สึกชอบเธอจริง ๆ ด้วย
แทยังอยากมีความสัมพันธ์ที่จริงจังและลึกซึ้งมากกว่าความสัมพันธ์ชั่วคราว
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่า การที่เขาไม่สามารถพบปะใครซักคนได้อย่างสนิทใจนั้นเป็นสิ่งไม่ดี
แต่เขาก็บอกว่า นั่นเป็นเพราะเขาอยากให้กันพบกันนั้นเป็นการพบกันที่จะยืนยาวไปจนจบ
"สำหรับคนอื่นแล้ว ก็เป็นไปได้ครับที่จะเจอใครซักคนที่เข้ากันได้ดี
และพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้ แต่สำหรับผมแล้วมันไม่ค่อยเวิร์ค
ผมอยากได้เธอที่จะคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่
แทนที่จะเป็นคนที่ผมจะไปพบเฉพาะเวลาที่มีเวลาว่าง
ถ้าในอนาคต ผมจะเจอใครซักคน ผมอยากจะให้เธอเป็นรักสุดท้ายของผมครับ"
เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจัง แทยังจึงกังวลหลายเรื่องเวลาที่จะรักใครซักคน
แต่เพราะเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครมาก่อน
จึงมีช่วงเวลาที่เขารู้สึกว่า มีอะไรขาดหายไปจากชีวิตของเขา
เขาจึงพยายามถ่ายทอดมันลงไปในเพลงของเขาเอง
แต่ด้วยความที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ความรักหรือแม้แต่อกหัก
เขาจึงทำได้แค่จินตนาการแล้วถ่ายทอดออกไปในเสียงเพลง
"ผมอยากจะเจอคนที่ผมชอบและรักเธอจริง ๆครับ ผมไม่อยากพบกัน
แล้วก็ทะเลาะกัน แล้วก็ต้องเจ็บปวด จนสุดท้ายก็เลิกรากันไปแบบนั้น
แต่ผมต้องร้องเพลงที่เกี่ยวกับการเจ็บปวดจากความรักที่จากไป
มันก็มีหลายครั้งนะครับที่ผมจินตนาการไปว่า มันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
อย่างในเพลง นามันบาราบวา เอง ผมต้องร้องเพลงแบบเศร้า ๆ
ทั้งที่ผมไม่มีประสบการณ์แบบนั้นมาก่อนเลย ผมก็เลยร้องไปในอารมณ์ประมาณว่า
ผมรักคุณมากจริง ๆ นะแบบนั้นน่ะครับ"
เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ที่ขี้วิตกกังวลและมีโอกาสมากมายในชีวิต
ด้วยความสุขุมและจริงจังของเขา แทยังไตร่ตรองทุกก้าวย่างที่เขาเดิน
คำพูดที่จริงจังและซื่อตรงของเขาที่ปราศจากความอวดรู้นั่น น่าเชื่อถือมากทีเดียว
[TRAN] Taeyang EP: 9 "พอทีความเจ็บปวด.......ถึงเวลามอบของขวัญ"
เป็นธรรมดาที่เมื่อมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น แน่นอนกว่าจะได้มาย่อมต้องผ่านความทุกข์ทรมานมาก่อน
ผลของการยอมทุกข์ทรมานที่แทยังประสบในช่วงปีที่ผ่านมากำลังจะออกมาให้เห็นแล้ว
ในรูปแบบของ อัลบั้มเต็ม
" เราเกือบจะเข้าสู่จุดจบแล้วละครับ เราเลือกเอาแต่เพลงที่ดีที่สุดเข้ามาอยู่ในอัลบั้ม
และผมคิดว่าจะมีเพลงที่เราเลือกไว้น้อยเหมือนกัน น่าจะประมาณ 10 เพลง"
จริงๆแล้ว ก็เป็นเพราะการที่เค้าต้องเตรียมงานในอัลบั้มของเค้านี่แหละ
ที่ทำให้เค้าต้องผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานจนพูดไม่ออกในช่วงปีที่ผ่านมานี้
การที่เค้าต้องทำงานในอัลบั้มเดี่ยวและต้องทำงานโปรโมทในตารางงานอย่างสม่ำเสมอควบคู่กัน
ทำให้เค้ามีช่วงเวลาที่ลำบากทั้งทางกายและทางจิตใจ
เค้าต้องทุ่มเทลงแรงอย่างมากเพื่อที่จะให้อัลบั้มใหม่ออกมาน่าพอใจที่สุด
"ผมคิดว่าอัลบั้มของผมจะออกมาเร็วๆนี้แหละครับมันจะเป็นอัลบั้มเต็มของผมอัลบั้มแรก
ดังนั้นอารมณ์มันจึงแตกต่างอย่างมากจากมินิอัลบั้มหรือซิงเกิลนะครับ"
เค้ายังทำงานออกมาในสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง
ที่เค้าไม่เคยได้มีโอกาสสามารถทำได้มาก่อน
"ผมไม่สามารถบอกได้จริงๆว่าเพลงเหล่านั้นมันเป็นสไตล์อะไร แต่คุณจะรู้เองเมื่อได้ยินมัน
และมันอาจจะเป็นอะไรที่ใหม่มากครับ แทนที่จะเลือกเพลงที่เข้ากับยุคเข้ากับสมัย
ผมเลือกเพลงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บ่งบอกตัวผมมามากกว่า
ซึ่งเพลงทั้งหมดพื้นฐานเพลงล้วนเป็นเพลงแนว R&B "
ในช่วงที่แทยังทำงานในอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง เค้ากลายเป็นคนอ่อนไหวมาก
ถึงจุดที่ว่าสมาชิกคนอื่นๆในบิกแบงไม่สามารถเข้าถึงเค้าได้ง่ายๆ
"เป็นเพราะมันเป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในชื่อของผม ผมจึงรู้สึกเครียดมากและโมโหง่าย
มันทำให้ผมคิดว่า ทำไมผมจึงมาทำงานเพลง ??
ผมมาทำงานเพลงเพราะมันทำให้ผมมีความสุข
ดังนั้นเวลาผมทำงานผมก็ควรจะมีความสุข
และผมก็คิดว่ามันไม่ถูกต้องนะถ้ามันจะจบลงที่มันสร้างความเจ็บปวดให้กับผม"
การที่ถูกไล่หลังตามมาติดๆกับตารางงานที่แสนจะยุ่ง
และการที่เค้าต้องคอยเก็บรวบรวมสติของเค้าให้กลับคืนมาเป็นพลังงานในการทำงาน
ยิ่งลำบากมากแค่ไหนเค้าก็ได้เติบโตมากเท่านั้น
"ตอนนี้ผมสบายใจแล้วครับ จริงๆผมอยากจะบอกกับแฟนๆว่า
ไม่ต้องซื้อของขวัญให้ผมหรอกนะครับในวันเกิดปีนี้
ผมแค่อยากจะขอโทษที่ไม่ได้มอบอะไรให้กับพวกเค้าเลย
แต่ผมคิดว่าผมกำลังจะสามารถมอบขวัญให้พวกเค้าได้ในเร็ววันนี้แหละ
ผมตื่นเต้นมากๆครับ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น