25 มิถุนายน 2553

ตอนที่ 1 สัมภาษณ์ท็อป จาก 10asia

TOP: "ผมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงที่สุดของตัวเอง"
ในภาพยนตร์เรื่อง into the fire








"แร๊พเปอร์ผู้ที่มีเบื้องหน้าเหมือนดั่งหมาป่า แต่กลับมีนิสัยเหมือนแกะน้อย " คำพูดที่ดูขัดแย้งกันเองนี้ ที่แฟนๆเขียนขึ้นมาดูจะสามารถอธิบาย ความเป็นท็อปได้ตรงที่สุด ท็อปอาจจะดูเป็นแร๊พเปอร์ที่มีเสียงหนาๆและท่าทางที่โฉบเฉียว แต่เค้าก็ยังเก็บเอาความรู้สึกที่อ่อนไหวเอาไว้ มุมที่เค้ายังชอบฟังเพลง อย่าง Damien Rice และ Labelle อยู่

และเค้าอาจจะเป็นสมาชิกของวงไอดอล วงหนึ่งที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในเกาหลี แต่ในช่วงวัยรุ่นที่ผ่านมา เค้าใช้เวลาส่วนมากไปกับการ
เตร็ดเตร่และต่อสู้กับตัวเอง ดังนั้น เมื่อเราถามเค้าว่าอะไรที่เค้าต้องการเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดง หรือ ถามเค้าว่า เค้ามีโครงการหรือแผนการอย่างไรในฐานะ แร๊พเปอร์ผู้โด่งดัง กลับกลายเป็นเรื่องที่เสียเวลาที่จะมาพูดกันในเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะ ตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงบัดนี้ เค้าใช้เวลาทั้งหมดของเค้านั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนเนื้อเพลงที่อธิบายถึงตัวตนของตัวเอง ซึ่งเค้ายังคงจะทำอย่างนั้นต่อไป ท็อปกล่าวว่าเค้าเลือกรับแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเค้า "มองเห็นตัวเอง" ในบทบาทนี้ เค้ายังคงความเป็น ชายอายุ 24 ลงไปในบทของนักเรียนทหาร Oh jang bom ที่มีอายุเพียง 17 ได้อย่างไร เราจะมาพูดคุยกับท็อปทั้งในเรื่องการแสดง การแร๊พ และ ตัวตนของเค้า

================

Q: คุณรู้สึกยังไงบ้างที่วันนี้ได้มาให้สัมภาษณ์ในฐานะที่เป็นตัวเองไม่ใช่หนึ่งในสมาชิกของวงบิกแบง ??

T.O.P: ในวงบิกแบง มีสมาชิกหลายคนที่พูดเก่งครับ
ดังนั้นผมจึงไม่เคยที่จะต้องออกมาพูดจริงๆซักกะที แต่ตอนนี้ผมพูดเยอะขึ้นแล้วนะครับ
หากผมกลับไปเป็นสมาชิกวงบิกแบงอีกครั้ง พวกเค้าคงต้องให้ผมพูดเยอะแน่เลย ดังนั้นผมควรที่จะพูดน้อยๆนะวันนี้ ( หัวเราะ)

===================

"การถ่ายทำภาพยนตร์ ทำให้ผมมีอิสระมากขึ้น"

Q: ในฐานะนักแสดง งานนี้เป็นงานชิ้นที่สามของคุณแล้ว
ในตอนถ่ายทำ ยิ่งถ่ายมากคุณจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นหรือยิ่งถ่ายก็ยิ่งกดดันมากขึ้น ???
ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับการแสดง??

T.O.P: ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม ผมไม่เคยที่จะถูกกลืนไปกับสิ่งที่ทำได้ทันทีหรืออินกับมันทันที ผมมีความสุขเสมอเวลาทำงานแต่ผมก็มีเรื่องให้กังวลเสมอด้วยเช่นกัน ผมจะทำมันด้วยความระมัดระวังที่สุดและคิดอย่างระเอียดที่สุดด้วย ผมรู้สึกว่าที่ผมเป็นแบบนั้นเป็นเพราะ ผมมักจะมีบางสิ่งบางอย่างให้กลัวอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ ความกลัวที่ว่าดูเหมือนจะหายไปแล้วฮะ ซึ่งผมคิดว่ามันดีต่อผมนะ

Q: ก่อนที่ฉันจะมาสัมภาษณ์คุณฉันได้สัมภาษณ์ Cha Seung-Wonและ Kim Seung-Woo
พวกเค้าต่างเรียกคุณว่า " ซึงฮยอนของเรา" ( "Woo-ri Seung-hyun-ee" ) คุณท่าทางจะเป็นรุ่นน้องที่รุ่นพี่เอ็นดูมากๆ

T.O.P: ผมรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่และผู้กำกับมากๆครับ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม หากผมได้เจอคนที่มีศักดิ์เหนือกว่าหรือว่าพวกรุ่นพี่ มันจะเป็นเรื่องยากนิดหน่อยสำหรับผมนะครับ
ผมจะระมัดระวังมากและรักษามารยาทมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเค้าที่จะเข้าถึงตัวจริงของผม
แต่พวกรุ่นพี่ก็ยังเข้าหาผมก่อนเพื่อที่ว่าผมจะได้สนิทกับพวกเค้าเร็วขึ้น ทำตัวเป็นปกติ และได้ทำงานร่วมกับพวกเค้า
ในตอนที่ถ่ายทำ จะมีรุ่นพี่รุ่นน้อง และผู้กำกับ แต่พอเสร็จการถ่ายทำ เราจะสนิทกันพวกเค้าเหมือนเป็นพี่ชายที่สนิทของผมครับ


Q: ได้ยินมาว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงมีอิทธิพลในเรื่องการแสดงของคุณ แต่มันยังมีผลต่อชีวิตและความรู้สึกของคุณด้วย??

T.O.P: ผมรู้สึกอะไรมากมายจากการเฝ้าสังเกตพวกรุ่นพี่ฮะ ผมชอบหุ่นตุ๊กตาพลาสติก ซึ่งผมคิดว่าผมรู้สึกได้ถึงความมั่นคงในพวกมัน ผมคิดว่าวัสดุที่แข็งๆ หรือโครงสร้างสัดส่วนของหุ่นตุ๊กตาพลาสติกเหล่านี้ มันสมบูรณ์แบบ รูปแบบที่ไม่มีอะไรสามารถส่งผลกับมันได้ทำให้ผมสนใจมาก ผมเชื่อว่าความมั่นคงแบบนี้ เป็นสิ่งที่ผมได้เห็นจากพวกพี่ๆเหมือนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่มีการถ่ายทำ พวกเค้าจะโทรศัพท์กลับบ้านตลอด เมื่อเห็นแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกอะไรมากมาย ผมมาตระหนักได้ว่าในชีวิตผม ผมไม่มีรูปแบบความมั่นคงแบบนั้นอยู่เลย ผมจะคิดว่า " อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในวันพรุ่งนี้?? แล้วหากไม่มีวันพรุ่งนี้ละ?? " แต่นี่ก็ทำให้ผมรู้สึกอิสระมากขึ้น

Q: นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณเลือกรับที่จะแสดงในบท Oh jang bom ใช่ไม๊?? เพราะ jangbom เค้าเพิ่งจะอายุ 17 แต่เค้าต้องมอบชีวิตวัยหนุ่มของเค้าหมดไปกับสงคราม เค้าต้องเจอกับปัญหาที่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงและความไม่แน่นอนต่างๆ??

T.O.P: นั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดผมเข้ามาฮะ เพราะเค้าเป็นแค่เด็กอายุ 17 กับความไม่แน่นอนต่างๆ เพราะแบบนั้นผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็น Oh jang bom หรือผม เราต่างต้องการที่จะเป็นผู้ชายที่มีความมั่นคง ผมยังคิดด้วยว่า Oh jang bom มีบุคคลิกที่คล้ายๆกันกับบุคคลิกของผม ผมคิดว่าเราเหมือนกันมากโดยเฉพาะ วิธีที่เราคิดหรือแสดงออกเวลาที่เราอยู่คนเดียว


Q: ในตอนที่คุณแสดงเป็น vic ในละครทางช่อง KBS คุณได้จินตนาการบทบาทที่ได้รับจากคนคนนึงในภาพยนตร์ ด้วยวิธีนั้น คุณจินตนาการว่า วิค จะต้องเป็นอะไรที่เหนือจริงมากๆ เป็นตัวละครในจินตนาการ แต่ในตัวคุณ คุณมีพื้นฐานของตัวละครที่เป็นคนจริงๆ คุณ???

T.O.P: ผมพยายามที่จะโชว์ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมรู้สึกว่าเค้าไม่ใช่แค่บทบาทแต่ผมกำลังแสดงเป็นตัวเอง ผมพูดไม่ได้หรอกครับว่าผมโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ผมใช้เวลาในช่วงวัย 20 นี้เติบโตผ่านการทำงานมากมาย ผมเชื่อว่าผมเติบโตขึ้นทีละนิดๆ ผมอยากจะแสดงออกถึงการเติบโตดังกล่าวผ่านลงไปในบทบาทของ oh jang bom เค้าถูกบังคับให้มอบชีวิตในช่วงวัยรุ่นให้กับสงคราม ทั้งๆที่มีอายุเพียง 17 ปี ในฐานะ ร้อยโทหัวหน้ากองนักเรียนทหารเค้าถูกบังคับให้ต้องรับผิดชอบภาระอันยิ่งใหญ่ เค้าถูกบังคับให้ต้องโตและเป็นผู้ใหญ่ในเวลาอันสั้น ผมรู้สึกว่า ถ้าผมไม่เคยผ่านช่วงที่ต้องเติบโตมาแบบนี้ ผมคงจะกลัวที่จะรับบท oh jang bom นี้เหมือนกัน


==================



"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมเก็บตัวมาก"


Q: เป็นยังไงบ้างกับการที่ต้องแสดงออกถึงอารมณ์ของเด็กอายุ 17 ??
T.O.P: ผมคิดว่าบางส่วนในตัวผมยังคงเป็นเด็กอยู่นะครับ หนึ่งในเหตุผลที่ผมชอบพวกหุ่นตุ๊กตาเป็นเพราะว่าผมต้องการที่จะคงความเด็กเอาไว้ และเพราะ บุคลลิกของ oh jang bom แก่นแท้แล้วเค้า บริสุทธิ์และมีมนุษยธรรมมาก
ดังนั้นผมจึงต้องการที่จะตามหาตัวตนของตัวเองในด้านที่แตกต่างออกไปด้านที่ผมไม่เคยแสดงออกมาก่อนออกมาด้วย

Q: ด้านที่แตกต่างไปเหรอ??
T.O.P: จนถึงตอนนี้ ผมคิดว่าผม คนที่ผมแสดงออกมาในตอนนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากตัวตนของตัวจริงๆของผมอย่างสิ้นเชิงครับผมทำให้มันดูเจิดจรัสมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผมโกหกตัวเองหรือว่าแสดงออกด้านที่ไม่จริงของตัวเองออกมานะครับ ผมเป็นคนที่ทำงานเพลง และผมมักจะต้องแสดงออกถึงตัวตนของตัวเองต่อสาธารณะ แต่ยิ่งผมเข้าใกล้สาธาณชนมากขึ้นๆๆๆ ผมกังวลว่าเค้าจะเกิดเบื่อกับภาพนั้น มันมีจุดนึงที่พวกนักดนตรีต้องไปออกรายการทีวีบ่อยมาก ดังนั้นผมจึงเก็บเอาความกังวลนี้ไว้กับตัวและในเวลานั้นผมเริ่มที่จะเก็บตัวมากๆ ผมอยากที่จะรักษาระยะห่างจากตัวผมกับผู้คน ในตอนนั้น ผมจบลงที่การโชว์ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา


Q: ในการให้สัมภาษณ์ ครั้งนึง คุณกล่าวว่า เพื่อที่จะสร้างบุคคลิกขึ้นมา คุณจะถามคำถามตัวเอง
คำถามอะไรที่คุณถามตัวเองในครั้งนี้??
T.O.P: จริงๆมันมักจะจบลงที่มีคำถามให้ถามมากมายเลยครับ ดังนั้นผมก็เหนื่อยที่จะมาตามลบมันด้วย เมื่อก่อน เวลาที่ผมจะเริ่มแสดง ผมจะคิดว่า "นี่มันถูกรึยังเนี้ย??" และผมก็จะหลงไปกับความคิดที่เข้ามามากมาย ครั้งนี้ ผมโยนความคิดซับซ้อนทุกอย่างในฉากออกไป และผมก็แสดงเหมือนกับที่ผมแสดงบนเวทีในฐานะนักร้อง ผมไม่รู้วิธีการสร้างตัวละครออกมาเหมือนที่พวกรุ่นพี่ทำกัน ดังนั้นผมพยายามที่จะสร้างบุคคลิกออกมาจากประสบการณ์ที่ผมได้รับมา กว่า 5 ปีที่อยู่บนเวที ผมคงทำไม่สำเร็จหากไม่ได้ประสบการณ์จากตรงนี้

Q:ในหนังสือบทความของบิกแบง คุณพูดว่าเวลาถ่ายทำภาพยนตร์ คุณไม่ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนการแสดงเพราะคุณกลัวว่าการแสดงของคุณจะกลายเป็นมาตรฐานเหมือนๆกับคนอื่นๆ ตอนนี้คุณคิดยังไง??


T.O.P: แนวคิดในการแสดงอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนนะครับ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่านี่ตรงกับผม แทนที่จะไปเรียนการแสดงและทำมันออกมาในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง ผมต้องการที่จะแสดงออกมาจากประสบการณ์ที่ได้รับมาจากในอดีตมากกว่า และเก็บเอาความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในตอนที่แสดง เช่น เสียงร้องแร๊พที่ผมร้องออกมานั้นเป็นผลมาจากการพิจารณามาอย่างดีแล้วกว่า 10 ปี มันไม่ใช่เสียงจริงๆของผม ผมตั้งใจทำมันออกมาแบบนั้น และนี่เป็นเหตุผลที่ ท่านประธาน (วายจี) ก็ยังบอกผมเลยว่าเสียงร้องแร๊พของผมเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากคนอื่น ดังนั้น นี่ก็เหมือนกันผมอยากที่จะสร้างวิธีการในการแสดงของตัวเองออกมา หลังจากนั้น บางทีผมอาจจะสามารถไปเรียนรู้ในเรื่องของเทคนิคเพิ่ม

Q: การที่คุณต้องหล่อหลอมตัวเองให้เข้ากับบทเพื่อการแสดง มันไม่ได้สร้างความยากลำบากให้แก่คุณในตอนที่คุณยังต้องทำงานตามตารางที่แสนจะยุ่งกับบิกแบงที่ญี่ปุ่นบ้างหรือ??

T.O.P: ในกองถ่าย ผมจะฟังเพลงเพื่อจะซึบซับอารมณ์ของตัวเองฮะ ผมไม่รู้จริงๆว่าจะเข้าถึงบทได้อย่างรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มานานได้ยังไง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะตั้งสมาธิและอินอยู่กับดนตรีแทนครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น