03 มิถุนายน 2553

[TRANS] TOP อยากกลายเป็นปีศาจ

ฝากรูป.com

ก่อนการสัมภาษณ์ ฉันกังวลนิดๆว่า ฉันควรจะเรียกเค้าว่า ท็อป หรือ ชเวซึงฮยอนดี สรุปให้คุณผู้อ่านเลยดีกว่าว่า ฉันใช่ทั้งท็อปและซึงฮยอนไปพร้อมๆกันโดยที่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใดตลอดการสัมภาษณ์นี้

ในการสัมภาษณ์เพื่อใช้โปรโมทภาพยนตร์ เรื่อง Into the fire โดยผู้กำกับ lee jae han ที่จะออกฉายในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ฉันพบท็อปในวันที่ 20 พฤษภาคม ในร้านกาแฟแห่งนึงในโซล ท็อปไม่เหมือนกับไอดอลคนอื่นๆที่มาเป็นนักแสดง ที่จะทิ้งชื่อที่ใช้ในวงการนักร้องและหันมาใช้ชื่อที่ได้มาตั้งแต่เกิดเพื่อวงการแสดง และมักจะพูดว่า " โปรดลืมภาพของผมที่คุณเคยเห็นบนเวทีไปนะครับ" แต่ท็อปยังคงไม่ปฏิเสธที่จะเป็นทั้ง ท็อปจากบิกแบงและนักแสดงที่ชื่อว่าชเวซึงฮยอน

นอกจากนี้ วันนี้ท็อปยังพูดว่า " ผมคิดว่าจะกลับขึ้นเวทีอีกครั้งแล้วละครับ" ทิ้งอดีตในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาช่วงเวลาที่เค้ายุ่งมากๆๆ กับละครเรื่อง ไอริช และ ภาพยนตร์เรื่อง into the fire เอาไว้ข้างหลัง ท็อปกำลังนึกถึงก้าวต่อไปแล้ว " ตอนนี้ผมคิดว่าผมต้องการที่จะกลับไปนักร้องที่ชื่อท็อป ผมตั้งปฏิธานไว้ในใจแล้วว่าจะไม่ทิ้งทั้งสองด้านนี้ของตัวเอง " ท็อปเลือกที่จะไม่หนีแล้วก็ไม่ละทิ้งมัน มันเป็นเรื่องเล็กๆๆ ของท็อปที่เข้าสู่วัย 24 ในการที่จะต้องพยายามหาความสมดุลให้กับทั้งงานในด้านการแสดงและงานเพลง

อย่างงั้น คะแนนที่ท็อปควรจะได้จากผลงานภาพยนตร์จอยักษ์ครั้งแรกจะเป็นยังไง?? ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ลงโรงฉายแต่นักวิจารณ์ต่างให้ความคิดเห็นที่ดีมาก การชำเลืองตามองที่แสนจะดุดันของท็อปในตัวอย่างภาพยนตร์เป็นสิ่งที่ผู้คนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างมาก
นักแสดงรุ่นพี่ที่แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่าง Cha Seung Won, Kim Seung Woo, Kwon Sang Wooต่างกล่าวชมทักษะการแสดงของท็อปกันอย่างมาก เหล่านักวิจารณ์ก็กล่าวชมว่า " นี่เป็นภาพยนตร์ของท็อป เป็นการค้นพบอีกตัวตนของท็อป" แต่ส่วนตัวของท็อปเองแล้วเค้ากลับมีปฏิกริยาที่น้อยกว่านั้น

"เมื่อมองดูแล้วผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่มีความหมายมากกับคนในรุ่นผม แต่ขนาดตอนที่ผมกำลังถ่ายทำอยู่ผมก็ไม่ได้รู้สึกในเรื่องนี้มากนะ จนกระทั่งการถ่ายทำจบลงผมถึงจะมีอิสระทางความคิดพอที่จะมานั่งคิดในเรื่องนั้น"

แต่เค้าก็กล่าวว่า ระดับความพอใจของตัวเค้าเองต่อภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นสูงทีเดียว " ผมไม่สามารถที่จะให้คะแนนออกมาได้หรอกครับ แต่ผมทุ่มเททุกอย่างลงไปแล้วและผมก็รู้สึกว่าผมพอใจนะครับ ผมไม่ได้เป็นตัวเองเลยในตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ " ท็อปกล่าวเมื่อพูดถึงความพยายามที่เค้าทุ่มลงไปในหนัง

" จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมีความสัมพันธ์เป็นพี่เป็นน้องกับผู้กำกับ Lee Jae Han ผู้ซึ่งมีบุคคลิกคล้ายๆกับผมครับ เราพูดคุยกันเยอะเลยฮะในที่ทำงานของเค้าก่อนที่จะมีการเริ่มการถ่ายทำ และผมก็คิดว่าผมต้องการที่จะเก็บเอาท็อปแอบเอาไว้ชั่วคราวก่อนเพื่อที่จะรับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับบอกกับผมว่า " ฉันไม่รู้ว่าเทคนิคในการแสดงของนายจะดีแค่ไหนนะในตอนนี้ แต่ยังไงก็ทุ่มเททั้งหมดลงไปในการแสดงเรื่องนี้ก้อแล้วกัน" เป็นเพราะเราพูดคุยกันในเรื่องนี้ ผมจึงมาปรับใจและผมก็รู้วิธีที่ใช้ปรับตัวก่อนที่จะขึ้นเวทีมาปรับใช้ในการรับบทในเรื่องนี้ฮะ"


การที่ได้พูดคุยกับผู้กำกับในแนวทางแบบนั้น ความพยายามของท็อปที่จะแยกระหว่างนักร้องกับนักแสดงให้ออกจากกันอย่างเด็ดขาดกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมาย เค้าเป็นศิลปินที่รวมเอาทั้งการแสดงและแรงกระตุ้นจากดนตรีเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนแต่เค้าก็ยังคงหลีกเลี่ยงพยายามไม่ให้น้ำหนักโอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่งมากไป เค้ายังเรียนรู้ที่จะทุ่มเทลงไปเต็มร้อยกับงานทั้งคู่ และกลายเป็นที่สุดของทั้งสองวงการ

จู่ๆฉันก็เริ่มอยากรู้ขึ้นมาว่าท็อปในตอนอายุ 30 จะเป็นยังไง

" คุณคิดว่าเราจะได้เห็นคุณเป็นแบบไหนตอนที่คุณอายุ 30 ??" และคำตอบของท็อปก้อคือ

"ผมก็เดาไม่ออกจริงๆครับ แต่ผมอยากจะเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ในทุกๆเรื่อง ผมอยากจะเป็นคนที่สดใหม่ จนถึงจุดที่คนจะเรียกว่าผมเป็นปีศาจเลย ผมอยากจะเป็นคนที่กระตุ้นความคาดหวังและความอยากรู้อยากเห็น ให้กับทุกคนที่ได้ยินชื่อ TOP "

ในตอนจบ ท็อปยังทิ้งท้ายเอาไว้ ว่า " มันง่ายมากฮะที่จะเป็นคนที่เท่ แต่การที่จะเป็นคนที่น่าค้นหานั่นแหละ ยาก "

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น